รีวิวหนัง ยักษ์ YAK THE GIANT KING
ดูหนังฟรี ตั้งแต่ได้เห็นเทรเลอร์ตัวแรก สิ่งที่ผมนึกถึงอยู่เสมอเวลาคิดถึงภาพยนตร์อนิเมชั่นของไทยเรื่องนี้ก็คือ ยอมรับว่าตื่นเต้นกับงานภาพในตัวอย่างมาก ดูหนังออนไลน์ อนิเมชั่นค่อนข้างไหลลื่น ตัวละครที่ดูมีมิติ(ดูเป็นวัตถุ ต่างจากหลายๆเรื่องที่โมเดลตัวละครยังเหมือนภาพการ์ตูนที่ไม่รับรายละเอียดของแสงเงาเท่าไหร่) ดูหนังออนไลน์ฟรี 2022 แต่สิ่งที่มันตะขิดตะขวงใจอยู่ก็… รีวิวหนัง ยักษ์ YAK THE GIANT KING รีวิวหนังไทย
“มันอาจจะห่วยก็ได้นะ?”
“สวยแค่ภาพรึเปล่า?” (ยังมีข้อครหาที่ว่าไปคล้ายเรื่อง Robot อีก)
“สุดท้ายก็แค่การ์ตูนที่ทำมาให้เด็ก 10- (สิบขวบหรือต่ำกว่า) ดูเท่านั้นล่ะมั้ง?”
แม้จะอยากส่งเสริมแค่ไหนแต่ประสบการณ์ที่ผ่านๆมากับอนิเมชั่นไทยก็ไม่ช่วยให้ผมมีความหวังสูงนัก กระนั้นก็ตั้งใจว่ายังไงจะไปดูให้ได้ เพื่อจะกลับมาชื่นชมหรือจะสับเละก็อีกเรื่องหนึ่ง และในที่สุดก็ได้ไปยลโฉม ณ โรงหนังธนาซีเพล็กซ์รอบบ่าย 2 โมง 10 นาที(02:10 PM)
(ปล. ขอบ่นนิด โรงหนังนี้ทำไมไม่เอา Rise of the Guardians กับ Wreck-It Ralph มาฉายฟร้า!!!! ออกจะดัง)

-(ต้นเรื่อง) เปิดตัวได้โอเค อนิเมชั่นที่คิดว่าลื่นไหลในเทรเลอร์….เอาเข้าจริงก็ยังไม่พริ้วเท่าไหร่ ยังมีช่วงที่แข็งๆอยู่บ้าง แต่จุดเด่นคือมุขตลก(ไม่ใช่มุขแนวคาเฟ่ด้วย!!)ที่ใส่มานั้นทำเอาเสียงหัวเราะดังก้องโรง ช่วงเวลาการตัดมุขทำได้ลื่นไหลและเป็นธรรมชาติดี คะแนนในช่วงเปิดตัวผมให้ 7/10 (ยังไม่มีอะไรน่าประทับใจมาก แต่ก็ให้ความบันเทิงเรื่อยๆ)
-(กลางเรื่อง) เริ่มจะกร่อย…เนื้อเรื่องเดี๋ยวก็เอื่อยเดี๋ยวก็เร่ง บทตัวละครที่มีอยู่แค่ไม่กี่ตัวก็ยังจะกระจายได้ไม่พอดี ทำให้ช่วงกลางเรื่องผมคิดว่าเป็นช่วงอ่อนที่สุด มีอยู่หลายตอนที่ผมนั่งดูแล้วขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกว่าการตัดต่อมันมั่วแบบแปลกๆ คะแนนจากต้นเรื่องตอนนี้ลดลงมาเหลือ 2/10 (เริ่มจะหวั่นใจ สงสัยจะเป็นหนังดีแต่หน้าฉากอีกแล้วล่ะมั้ง…)
(**ขออนุญาตไม่สาบานว่าไม่ใช่หน้าม้าของ Work Point เพราะตอนนี้พึ่งส่งใบสมัครฝึกงานไป เกิดได้ฝึกที่นี่ขึ้นมาเดี๋ยวจะหาว่าเราโกหกเรื่องไม่ส่วนได้เสียส่วนเสียกะบริษัทนี้….ถ้าได้น่ะนะ)
ของอนิเมชั่นเรื่องนี้เป็นอะไรที่ทำให้ทั้งตาค้าง ตื่นเต้น ลุ้น และถึงขนาดเสียน้ำตาได้ตลอดช่วงท้ายเรื่อง ความเข้มข้นของ Act3 นั้นอาจจะมากกว่าหนังจากดิสนีย์บางเรื่องเสียอีก(ขอย้ำว่าแค่บางเรื่อง!!) อารมณ์ขุ่นๆพาลจะเกลียดจาก Act2 หายไปในพริบตา นี่คือช่วงเวลาที่สุดยอดที่สุดเท่าที่ผมเคยพบในการ์ตูนอนิเมชั่นของไทย คะแนนอารมณ์ตอนนั้นให้ 11/10!! ครับ สุดยอดแบบคาดไม่ถึงจริงๆ
ทั้งนี้นั่นคืออารมณ์ตอนดู ถ้าจะให้ประเมินตัวหนังทั้งเรื่อง ผมคงให้คะแนนได้แค่ 7/10 ส่วนที่เป็นข้อดีนั้นทำได้ดีมากๆ พอๆกับส่วนที่เป็นข้อเสียก็เสียจนทำให้หนังเป๋ไปเหมือนกัน
ถ้าคุณมีลูกหรือเด็กเล็กๆ ผมแนะนำให้ซื้อหนังเรื่องนี้มาดูได้เลยครับ และตัวคุณเองก็สามารถนั่งดูด้วยได้โดยไม่รู้สึกเบื่อหรือเซ็งกับเนื้อหาเด็กๆ เป็นหนังที่ผมไม่เสียดายที่จะซื้อเก็บ(ที่จริงผมรอ OST อยู่ด้วยเพราะเพลงเพราะดี แต่ไม่รู้จะหาซื้อได้มั้ย) โดยส่วนตัวไม่อยากให้หนังเรื่องนี้มีภาคต่อ…แต่อยากให้ทีมสร้างทำโปรเจคใหม่ไปเลย เพราะจากผลงานนี้พิสูจน์แล้วว่าทีมพัฒนามีฝีมือที่น่าจับตามองมากๆ

เท่าที่บอกได้โดยไม่สปอยล์ หนังมีจุดให้จับผิดและข้อด้อยที่เด่นชัดมากในหลายๆช่วง บางอย่างยังติดใจออกมาหลังดูจบ แต่ในทางกลับกัน…หนังก็มีส่วนดีๆที่ดีมากจนน่าตกใจ ยิ่งในส่วนของฉากเรียกน้ำตา…แม้จะไม่ถึงกับร้องไห้แต่ก็เล่นเอาน้ำตาซึมได้หลายฉาก ทั้งบทพูด ภาพ และเสียงในฉากนั้นๆทำได้จี้อารมณ์มากๆ
งานภาพโดยรวมอยู่ในระดับพอใช้กึ่งๆดี แต่สภาพแวดล้อมยังดูโล่งและไร้จุดเด่นเกินไปหน่อย(ถึงมันจะเป็นโลกแนวทะเลทรายหรือแดนร้างก็เถอะ แต่มันจืดมากจนดูโหวงๆพิกล) ไม่รู้ว่าเป็นคอนเซปต์ของเรื่องจริงๆหรือเพราะเวลาในการพัฒนาไม่เพียงพอ โลกของยักษ์ถึงดูเหมือนบ่อดินบ่อทรายขนาดใหญ่ที่แทบไม่มีอะไรเลย สีสันเองก็ไม่สะดุดตานักเมื่อเทียบกับการ์ตูนสำหรับเด็กทั่วไป
ในส่วนของเนื้อเรื่อง หนังไม่ซับซ้อนมากครับ และเท่าที่จำได้ก็ไม่ซ้ำกับการ์ตูนเรื่องอะไรที่ผมเคยดูมาเลย(แต่ถ้าใครดูแล้วนึกออกว่าคล้ายเรื่องอะไร วานบอกด้วยนะครับ) กระนั้น…เนื้อเรื่องของหนังก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย ถ้าคุณดูเทรเลอร์คุณก็น่าจะพอเดาเนื้อเรื่องคร่าวๆได้แล้ว ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
และหนังแทบไม่ได้ให้แบ็คกราวน์คนดูเท่าไหร่ ผมไม่ได้พูดถึงรามเกียรติ์ที่แทบทุกคนคงจะรู้จัก แต่เป็นเนื้อเรื่องของโลกในหนังที่ดูรวบรัดตัดตอนและไม่ได้อธิบายอะไรเท่าที่ควร ที่มาที่ไปของเหตุการณ์ต่างๆถูกจับมาใส่รวมๆโดยไม่มีการโฟกัสส่วนไหนเป็นพิเศษ ทำให้ผมไม่อินกับมิติในโลกของหนัง หลายๆฉากแม้จะซึ้งอย่างที่กล่าวไป แต่พอดูจบแล้วก็ก่อให้เกิดคำถามคาใจอยู่หลายข้อ…
กระนั้นโดยรวม นี่ก็ถือเป็นผลงานชิ้นเอกที่ยกระดับของอนิเมชั่นไทยขึ้นมา เพราะตัวหนังไม่ได้เน้นที่ผู้ชมเด็กเท่านั้น แม้แต่วัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ดูก็ยังสามารถสนุกและได้สาระดีๆ โดยเฉพาะคำพูดของเผือกที่ว่า
“มีรามเกียรติ์เกิดขึ้นใหม่ทุกวัน ทุกแห่งหน ทุกผู้คน ไม่เว้นแม้แต่ในโลกของหุ่นยนต์”
“สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล / บ้านอิทธิฤทธิ์ / ซูเปอร์จิ๋ว / เวิร์คพอยท์ พิคเจอร์ส”
สุดภูมิใจที่ได้ร่วมกันสร้างฝันครั้งใหญ่ยิ่งกับอภิมหากาพย์ภาพยนตร์แอนิเมชั่นไทยที่มีชื่อสั้นๆ ว่า
“ยักษ์”

ด้วยแรงบันดาลใจในตัวละครคลาสสิกจากมหากาพย์รามายณะ ราม, หนุมาน, ทศกัณฐ์ ฯลฯ
จุดประกายไอเดียให้เขียนเรื่องขึ้นมาใหม่ก่อนกำกับทุกภาพให้โลดแล่นเป็นการ์ตูนโดย
“ประภาส ชลศรานนท์”
พร้อมร่วมเดินทางสร้างสรรค์จินตนาการภาพและเสียงให้เคลื่อนไหวอย่างมหัศจรรย์
จากหลากหลายศิลปินแห่งยุคในแขนงต่างๆ มาร่วมเนรมิต “ยักษ์” ที่เรารักให้แผลงฤทธิ์บนผืนโลกใบนี้
4 ตุลาคมนี้ ถึงเวลาที่เรามั่นใจและเชื่อว่าทุกคนจะรัก “ยักษ์” เหมือนที่เรา “รัก”
หลังสงครามอันยิ่งใหญ่ระหว่าง “หุ่นกระป๋องฝ่ายราม” กับ “หุ่นยักษ์ฝ่ายทศกัณฐ์” จบลงแบบล้างเผ่าพันธุ์ปล่อยทิ้งให้สนามรบกลายเป็นเพียงสุสานซากเศษโลหะและเป็นขุมทรัพย์ให้กับบรรดาหุ่นค้าของเก่า และแล้วเรื่องราวมิตรภาพและการเดินทางผจญภัยของเจ้าหุ่นยนต์ 2 ตัวที่ดูๆ ไปแล้วไม่มีสิ่งใดที่จะเหมือนกันสักนิดเดียวก็ได้เริ่มต้นขึ้นในอีกหลายล้านวันต่อมา
เจ้าหุ่นตัวหนึ่งใหญ่ยักษ์สมร่างชื่อ “น้าเขียว” บ่งบอกตามลักษณะสีอันเป็นเอกลักษณ์ดูน่าเกรงขาม กับ “เจ้าเผือก” หุ่นกระป๋องมินิตัวเล็กประเมินจากสภาพจากพวกค้าหุ่นยนต์เก่าบอกได้คำเดียวว่าไร้ราคา แต่กลับกลายเป็นว่าเจ้าหุ่น 2 ตัวต่างตื่นขึ้นมาจากการถูกขุดขึ้นพร้อมกับสภาวะหน่วยความจำเสื่อม ไม่จำอดีต ไม่รู้อนาคต แถมยังมีโซ่พิเศษที่ตัดเท่าไหร่ก็ตัดไม่ขาดผูกล่ามติดกัน
หนำซ้ำงานนี้พอทั้งคู่ตื่นขึ้นมาก็อาละวาดซะจนเมืองขายของเก่ากระเจิดกระเจิงราบเป็นหน้ากลอง ทำให้ทั้งคู่ต้องหนีและกลายเป็นร่วมผจญภัยไปด้วยกันอย่างไม่มีทางเลือก ทีแรกดูเผินๆ ต่างฝ่ายต่างเป็นส่วนเกินของกันและกัน แต่ตลอดการเดินทางกลับมีเรื่องราวหลากหลายเกิดขึ้นทำให้ทั้งคู่กลายเป็น “ฮีโร่” โดยไม่รู้ตัว
สร้างความผูกผันให้กับทั้งน้าเขียวและเจ้าเผือกก่อเกิดเป็นมิตรภาพที่ทำให้ส่วนเกินกลายแปรเปลี่ยนเป็นส่วนเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปของทั้งคู่ และจนวันหนึ่งที่พวกเขาพร้อมจะเป็นเพื่อนสนิทด้วยความเต็มใจ กลับเป็นวันที่ต้องรู้ว่า แท้จริงแล้วตัวตนของพวกเขาคือใคร หน้าที่และภารกิจที่ได้รับมอบหมายจะต้องดำเนินต่อไป ทำให้ต้องเลือกระหว่าง “มิตรภาพ” กับ “หน้าที่” สิ่งใดสำคัญกว่ากัน
ก่อนจะใช้ชื่อว่า “บ้านอิทธิฤทธิ์” บริษัทนี้เคยเกือบจะได้ใช้ชื่อว่า “ฤาษี”
“จิก ประภาส” และ “เอ็กซ์ ชัยพร” มีความชอบในลายเส้นของ “รงค์” (ณรงค์ ประภาสะโนบล) นักเขียนการ์ตูนในหนังสือ “ชัยพฤกษ์การ์ตูน” เหมือนกันโดยไม่ตั้งใจ
จุดเริ่มต้นของการนำ “รามเกียรติ์” มาสร้างเป็นแอนิเมชั่นเกิดจากขั้นตอนการประชุมทีมงานเพื่อวางเรื่อง แต่มีคนๆ หนึ่งเขียนชื่อลงไปในกระดาษผิดจาก “รามเกียรติ์” เป็น “รามเกียร์” เลยได้ไอเดียว่าถ้าเป็นโลกของหุ่นยนต์ขึ้นมาจะเป็นอย่างไร
ชื่อเรื่อง “ยักษ์” นี้ ประภาสไม่เคยคิดเป็นชื่ออื่นเลย เพราะพอได้ไอเดียว่าเป็น “รามเกียรติ์” แล้ว ตัวละครแรกที่ตั้งใจใช้เป็นตัวเอกก็คือ “ทศกัณฐ์” เพราะเป็นตัวละครที่เขาชอบมากที่สุด จนถึงกับเอามาตั้งเป็นชื่อรายการ “เกมทศกัณฐ์” จนโด่งดังมาแล้ว เหตุที่ชอบเพราะรู้สึกว่าเป็นตัวละครที่น่าสนใจ และทึ่งกับความคิดสร้างสรรค์ของการออกแบบให้มี 10 หน้า 20 แขน 20 มือ

ต้นแบบของตัวละครในเรื่อง “ยักษ์” มาจากหุ่นยนต์ที่ “เอ็กซ์ ชัยพร” ออกแบบไตเติลให้ “เวิร์คพอยท์ฯ” เมื่อ 8 ปีก่อน ในตอนจบของรายการเป็นหุ่นยนต์ตัวหนึ่งที่เดินมาแล้วแปลงแขนเป็นอาวุธสงคราม มันเอากองขยะมาประกอบจนเขียนคำว่าเวิร์คพอยท์ ไตเติลนี้ใช้เพียงไม่กี่ครั้ง ประภาสก็ให้ถอดออกเพราะจะเก็บไว้ทำแอนิเมชั่นต่อ
“หนุมาน” คือตัวละครที่ออกแบบยากที่สุด มีการปรับแก้หลายครั้งกว่าจะได้หน้าตาที่ดูเป็น “ฮีโร่” มากขึ้น
ตัวละครบางตัวมีการดึงลักษณะเด่นของนักแสดงผู้พากย์เสียงมาเป็นส่วนหนึ่งของรูปลักษณ์ตัวละครด้วย เช่น “หนุมาน” จะแตกต่างจากหุ่นยนต์ตัวอื่น ตรงที่หุ่นตัวอื่นจะมีเสาอากาศไว้รับคำสั่งจาก “ราม” เพียงเสาเดียว แต่หนุมานจะมีสามเสาดูคล้ายทรงเดดร็อกทรงผมของ “เสนาหอย” / “ก๊อก” หุ่นขายของเก่าก็ออกแบบมาจาก “แจ๊ป เดอะริชแมนทอย”
ตัวละครต่างๆ ในเรื่องนี้ได้ใส่รายละเอียดความเป็นไทยแฝงลงไปด้วยเช่น คิ้วของตัวละครเป็นคิ้วหยักๆ ได้ต้นแบบมาจากหัวโขน ตัวละครอย่าง “กุมภกรรณ” มีรอยสักรูปทศกัณฐ์ที่หน้าอก แต่รอยสักของโลกหุ่นยนต์จะไม่เหมือนกับของคนสักของหุ่นจะเอาเหล็กมาแล้วก็ยิงตะปูติด
หน้าท้องของตัวละคร “ทศกัณฐ์” ออกแบบมาจากท้องแมลง นอกจากเพื่อความสวยงามแล้ว ข้อดีคือมันสามารถงอเหมือนหุ่นจริงๆ
ตัวละครหลักในเรื่องนี้ตัวที่ไม่ได้อ้างอิงมาจาก “รามเกียรติ์” คือ “น้องสนิม”
“น้องสนิม” เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่ทำกันหลายรอบ เพราะเป็นหุ่นยนต์ผู้หญิง ต้องออกแบบให้น่ารักนั้นทำได้ยาก ก่อนหน้านี้น้องสนิมเคยมีหน้าตาที่ดูน่ากลัวมากเพราะหน้าเป็นสนิมไปหมด
ตัวละคร “บรู๊คส์” นักไต่เขา เป็นตัวละครที่ตั้งใจออกแบบให้เหมือน “โน้ต อุดม” โดนตอนแรกทีมงานจะใส่จมูกอันเป็นเอกลักษณ์ลงไปแต่ไม่เข้ากับหน้าหุ่นยนต์เลยเอาออก แต่ถึงอย่างนั้นก็ออกมาคล้ายมากอยู่ดี
ส่วนชื่อบรู๊คส์นั้น ประภาสตั้งชื่อนี้ เพราะมีความประทับใจมาจากตัวละครบรูกส์ในหนังเรื่อง “The Shawshank Redemption” (1994 รีวิวหนัง ยักษ์ YAK THE GIANT KING
คาแร็กเตอร์ที่หาเสียงยากสุดคือตัว “น้าเขียว” หรือ “ทศกัณฐ์” เพราะว่ายักษ์ต้องมีทั้งความน่ากลัว เสียงต้องใหญ่ แต่พอติงต๊องก็เสียงต้องน่าสงสารด้วย จนสุดท้ายมาลงตัวที่ “หนุ่ม สันติสุข”
จริงๆ แล้วคาแร็กเตอร์ทั้งหมดในเรื่องมีอีกเป็นพันตัวเวลาที่ตัวละครเดินทางไปแต่ละเมืองเราก็จะเห็นดีไซน์ของหุ่นที่ไม่เหมือนกัน เมืองแต่ละเมืองก็จะมีสัญลักษณ์บางอย่าง เช่นเมืองที่เป็นเซียงกง เมืองนี้ก็จะเป็นเมืองที่เป็นสนิมๆ ไม่ค่อยสมบูรณ์ และพอเข้าไปโรงไฟฟ้าก็จะเป็นอีกเมืองหนึ่งก็จะเป็นอีกสีหนึ่ง
ฉากที่ใช้เวลาทำนานที่สุดจะเป็น “ฉากมหาสงคราม” ที่ใช้เวลานานเพราะว่าเป็นฉากแรกที่ทีมงานเริ่มทดลองทำ ใช้เวลาประมาณครึ่งปีสำหรับฉากแค่ 4 นาที (ในตอนแรกฉากนี้มีความยาวถึง 14 นาที)
“ฉากเชียงกง” เป็นตลาดที่ใช้ขายอะไหล่ให้หุ่นยนต์ตัวอื่นได้มาซื้อเปลี่ยน ฉากนี้มีต้นแบบมาจากตลาดเซียงกงจริงๆ ที่ขายอะไหล่รถยนต์ เครื่องยนต์ต่างๆ ในบ้านเรา
การออกแบบอาร์ตไดเร็กชั่นในเรื่องนี้มีความเป็นไทยสูง อย่างบรรยากาศท้องฟ้าในเรื่อง ชัยพรตั้งใจออกแบบให้มีสีสันที่เหมือนการใส่บาตรตอนเช้า
“ฉากยักษ์ตื่น” เป็นฉากที่มีความสนุกสนานอลม่าน เหตุการณ์ป่วนๆ เกิดขึ้นหลังจากที่ “ทศกัณฐ์” และ “หนุมาน” ตื่นขึ้นจากการหลับมานาน แต่ความยากของแอนิเมเตอร์ในฉากนี้คือต้องทำชาวเมืองนับร้อย และแต่ละตัวต่างกันหมดทั้งหน้าตาและการเคลื่อนไหว แถมยังมีบ้านเรือนเป็นฉากมากมายอีกด้วย
“ฉากปาหี่ของกุมภกรรณ” การจัดแสงต่างๆ ได้ไอเดียมาจากงานคอนเสิร์ตของจริงความยากของฉากนี้นอกจากจะมีตัวละครนับร้อย ทำให้จัดแสงไฟได้ยาก และตัวละครทุกตัวต้องมีชีวิตของตัวเองไมได้ขยับตัวเหมือนๆ กัน
“ฉากฟาร์มแม่เหล็ก” ฉากนี้ใช้การออกแบบง่ายๆ แต่ทรงพลัง โดยออกแบบให้เป็นแม่เหล็กเกือกม้าใหญ่ๆ อันเดียวเพื่อสื่อความหมาย แม่เหล็กนี้ไว้ใช้เปลี่ยนเหล็กให้กลายเป็นแม่เหล็ก และใช้ผลิตกระแสไฟไฟฟ้าให้กับเมืองหุ่นยนต์ เมื่อหุ่นยนต์ที่เข้าใกล้แม่เหล็กก็จะถูกดูดเข้าไป ฉากนี้เป็นฉากที่น่าตื่นเต้นน่ารอชมอีกฉาก
“ฉากตัดโซ่” ในเรื่องนี้จะเห็นสถานการณ์ที่เผือกและเขียวพยายามจะตัดโซ่ออกจากกันหลายครั้ง คนดูจะได้สนุกไปกับสถานการณ์หลากหลาย เบื้องหลังการสร้างนั้นยากมาก ฉากนี้มีประมาณ 6-7 ฉากในเวลาไม่ถึง 1 นาที แต่ฉากหนึ่งใช้เวลาเฉลี่ยแล้วประมาณ 4-6 เดือน
“โซ่” ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในเรื่องนี้เป็นจุดที่ยากมากเช่นกัน เพราะต้องใช้การสร้างงานซิมูเลชั่น (การเคลื่อนไหวที่สร้างขึ้นในคอมพิวเตอร์) มาทำให้โซ่เคลื่อนไหวได้สมจริง เป็นจุดที่ยากมากที่สุดจุดหนึ่งในเรื่อง เพราะตอนแรกยังไม่มีเทคโนโลยีการเขียนสคริปต์ให้คอมพิวเตอร์คำนวณ ต้องใช้แอนิเมเตอร์ค่อยๆ ขยับ จนเกือบทำแอนิเมเตอร์ถอดใจลาออกกันหลายคน จุดที่ยากที่สุดคือต้องทำให้โซ่ไปพันเสาให้ได้ใน “ฉากฟาร์มแม่เหล็ก”

ในแอนิเมชั่นเรื่อง “ยักษ์” นี้เป็นการนำ “รามเกียรติ์” มาเล่าในรูปแบบใหม่ มีการอิงจากเรื่องต้นฉบับและมีจุดที่มาแต่งเติมความคิดสร้างสีสันหลายจุด มีทั้งจุดที่เหมือนและแตกต่างได้แก่
หางของ“หนุมาน” ที่ยืดออกมาเป็นโซ่ได้ยาวๆ อิงมาจากฤทธิ์เดชของหนุมานที่สามารถยืดหางยาวจนพันรอบภูเขาได้
“กุมภกรรณ” ในแง่ของวรรณคดีแล้วมีกายสีเขียว มีศักดิ์เป็นน้องแท้ๆ ของ “ทศกัณฐ์” มีอาวุธร้ายประจำกายคือ “หอกโมกขศักดิ์” แต่ในเรื่องนี้จะมีร่างกายสีแดง เป็นพ่อค้าปาหี่ซึ่งหลงใหลทศกัณฐ์ และแน่นอนในเรื่องนี้มีปืนโมกขศักดิ์ เป็นอาวุธประจำกายเช่นกัน
“สดายุ” ตามเรื่องรามเกียรติ์ คือ “พระยาสดายุ” เป็นพญานก กายสีเขียว เป็นเพื่อนกับ “ท้าวทศรถ” วันหนึ่งสดายุพบทศกัณฐ์อุ้มนางสีดาเหาะมา นางสีดาเรียกให้ช่วย สดายุจึงเข้าต่อสู้กับทศกัณฐ์ แต่ในเรื่องนี้สดายุเป็นเครื่องบินรบสมัยสงคราม เป็นเครื่องบินของกองทัพทศกัณฐ์ ในฉากแรกเราจะเห็นบินกันเป็นฝูงๆ แต่เมื่อเรื่องดำเนินมาถึงตรงกลางเรื่อง นกสดายุเครื่องบินรบเก่าที่เหลืออยู่เพียงลำเดียวก็ออกมาแสดงความสนุก
ทีมงานส่วนใหญ่ของแอนิเมชั่น “ยักษ์” ตั้งแต่ผู้สร้าง, ผู้กำกับ, คนเขียนบท, นักแสดง, คนทำดนตรีประกอบ, มือตัดต่อ, ศิลปิน, รวมไปถึงทีมแอนิเมเตอร์ตลอดจนทีมงานเบื้องหน้าเบื้องหลังทั้งหมด ฯลฯ ยกเว้น “ทอดด์ ทองดี” ที่รับผิดชอบในการควบคุมกำกับการพากย์เวอร์ชั่นเสียงภาษาอังกฤษ พบว่าทีมงานทุกคนล้วนถือสัญชาติไทยและมีบัตรประชาชนเป็นคนไทยแทบทั้งสิ้น
“การเดินทางของยักษ์ในต่างแดน” เริ่มต้นขึ้นก่อนที่ตัวหนังฉบับสมบูรณ์จะเสร็จสิ้นโดยมีการนำภาพบางส่วนจากภาพยนตร์ไปฉายใน “เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์” ที่ผ่านมารวมไปถึงดินแดนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าตำรับของอุตสาหกรรมแอนิเมชั่นอย่างประเทศ “ญี่ปุ่น” และ “อเมริกา”
เจ้าของลายเส้นการ์ตูนยักษ์อย่าง “เอ็กซ์ ชัยพร” ถึงกลับปลื้มสุดๆ เมื่อมีชาวญี่ปุ่นที่เป็นนักเขียนการ์ตูนชื่อดังได้กล่าวแสดงความชื่นชมผลงานหลังจากที่ได้ชมภาพยนตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรู้สึกประทับใจกับการเคลื่อนไหวของตัวยักษ์ พร้อมกับแสดงท่าทีสนใจอยากร่วมงานด้วย
อีกหนึ่งความสำเร็จที่เกิดขึ้นล่าสุดสดๆ ร้อนๆ และถือได้ว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีจากการเปิดเผยล่าสุดจาก “เสี่ยเจียง” หัวเรือใหญ่ของ “สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล” ว่าแอนิเมชั่น “ยักษ์” ได้มีการตอบรับเซ็นสัญญาซื้อขายไปบ้างแล้วจากบางประเทศที่มีโอกาสได้ชมภาพยนตร์อย่าง “รัสเซีย” และ “เกาหลี” ในขณะที่ “ญี่ปุ่น” และ “อเมริกา” เองกำลังอยู่ในระหว่างเจรจาและมีทีท่าสนใจไม่ใช่น้อย
สร้างความแปลกใจและตื่นตะลึงไปมิใช่น้อยเมื่อหลายๆ ชาติที่มีโอกาสได้ชม “ยักษ์” และรู้ว่านี่คือผลงานแอนิเมชั่นสัญชาติไทยที่ทำโดยฝีมือคนไทย
“เราเป็นเพื่อนกันแล้ว จะทำลายกันอีกทำไม!? จะรบกันไปอีกกี่ชาติ!!?”