รีวิวหนัง แหยม ยโสธร 3
จากรุ่นพ่อมาสู่รุ่นลูกใน “แหยม ยโสธร 3” หนังฮาเว้าอีสานภาคต่อของผู้กำกับตลกร้อยล้าน “หม่ำ จ๊กม๊ก” ที่ทั้งกำกับและนำแสดงเอง ร่วมเสริมทัพความฮาด้วย เจเน็ต เขียว, เพทาย วงษ์คำเหลา, รีวิวหนัง แหยม ยโสธร 3 ลิขิต บุตรพรม, เอ็นดู วงษ์คำเหลา, อิงฟ้า เกตุคำ, รัตติยาภรณ์ ภักดีล้น และ เฉิน เชิญยิ้ม
รีวิวหนังไทย เวลาแห่งความสุขก็ได้ล่วงเลยผ่านฝน ผ่านหนาว ผ่านร้อนมาอีกหลายฤดู “บักแหยม” (หม่ำ จ๊กมก) ผู้มีรักจริงกับ “เจ้ย” (เจเน็ต เขียว) สาวผู้รักมั่นคงมิเคยเสื่อมคลาย ลูกๆ ก็โตจนเรียนจบหรือไม่ก็ออกเรือนกันไปหมด เหลือแค่เพียง “คำผาน” (เพทาย วงษ์คำเหลา) ที่ยังเรียนไม่จบ ซ้ำชั้น ม.ศ.5 มาสามปี สร้างความระทึกใจให้กับกำนันแหยมและเจ้ยเรื่อยมา..
จนกระทั่ง “คฑาเทพ” (ลิขิต บุตรพรม) ลูกชายอีกคนของกำนันแหยมกำลังจะเรียนจบกฎหมาย กลับมาเยี่ยมบ้านช่วงปิดเทอม ในระหว่างเดินทางกลับบ้านนั้นคฑาเทพก็ได้พบกับ “รำพัน” (อิงฟ้า เกตุคำ) หญิงสาวที่เดินทางกลับมาพร้อมกันโดยบังเอิญ และทั้งคู่ก็ตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกเห็น ความรักของทั้งคู่คงจะผลิบานอย่างที่ควรจะเป็น หากแต่ว่า…รำพันดันเป็นลูกสาวคนโตของ “กำนันปอย” (เฉิน เชิญยิ้ม) เพื่อนรักเพื่อนแค้นในอดีตที่ไปแย่งแฟนเก่าของแหยมมา นั่นคือ “รำพึง” (เอ็นดู วงษ์คำเหลา) ซึ่งยังมี “รำเพย” (รัตติยาภรณ์ ภักดีล้น) ลูกสาวอีกคนที่เป็นถึงดาวประจำโรงเรียนที่คำผานดันตกหลุมรักเข้าให้อีก แล้วมีหรือที่คำผานจะพลาดการชิงชัยรักนี้
โอ้ละหนอ…ความรักของรุ่นลูกที่พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายกีดกันไม่เห็นด้วย มันจะลงเอยแบบไหนกันล่ะเนี่ย? ดูหนังออนไลน์ แถมยังมีเรื่องราวความรักสุดแสบหักเหลี่ยมเฉือนคมรักซ้อนซ่อนเงื่อนของรุ่นพ่อแม่ให้ต้องติดตามกันต่ออีก ได้อลวนครื้นเครงอลเวงม่วนฮักจากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูกกันแบบยกกำลังสามล่ะคราวนี้!!

เป็นหนังอีกเรื่องที่ไม่ได้ตั้งใจไปดู แต่โดนคนใกล้ตัวบังคับให้ไปดูด้วย เพราะถ้าโดยส่วนตัวแล้วดูไปแค่ภาคแรกแล้วก็หยุดไม่ได้ตามต่อภาค 2 เนื่องจากไม่ค่อยถูกจริตกับหนังที่กำกับโดยนักแสดงตลกสักเท่าไร!! และกับภาคนี้นั้นหนังก็มาในแบบหนังฮารูปแบบเดิมๆที่เน้นขายมุกตลกเว้าอีสาน มุกตลกคำหยาบ และมุกตลกเจ็บตัวเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งบางมุกมันก็ฮาได้อยู่ แต่กับบางมุกนั้นมันก็ดูมากเกินไป(โดยเฉพาะมุกตลกเจ็บตัวตีหัวคนแทนกลอง) จนพาลทำให้ดูน่าอึดอัดมากกว่าที่จะตลกอย่างที่ควรเป็น แถมดูไปดูมานี่มันหนังแบบอุตสาหกรรมครัวเรือนวงษ์คำเหลาชัดๆ เพราะมีครบหมดตั้งแต่พ่อ แม่ น้า อา ลูกชาย ยันลูกสาว!!
นอกจากจะเน้นขายความฮาแล้ว “แหยม ยโสธร 3” ก็ยังเต็มไปด้วยฉากลิปซิงค์ร้องเพลงอีกต่างหาก คือถ้ามาแบบนิดๆหน่อยๆไม่เกินครึ่งเพลงก็พอจะรับไหว แต่นี่เล่นมาแบบจัดหนักจัดเต็มแทบทุกเพลง แถมทั้งเรื่องก็ปาเข้าไป 3-4 เพลง จากที่พอครึกครื้นสนุกสานก็เลยทำให้กลับกลายเป็นความน่าเบื่อแทน เหมือนกับว่าผู้กำกับหมดมุขเล่าจนไม่รู้จะเอาอะไรมาใส่ให้กับเนื้อเรื่องเลยมักง่ายยัดเพลงมาใส่ยืดเวลาหนังเอาซะงั้น!!
ส่วนด้านการแสดงนั้นคนอื่นๆที่ไม่ใช่คนในครอบครัววงษ์คำเหลาก็ทำได้ดีอย่างที่ควรเป็น ไม่มีอะไรโดดเด่นให้พูดถึง ดูหนังฟรี เพราะทั้งเรื่องถูกจัดฉากขายความเป็นครอบครัววงษ์คำเหลามากกว่าใครทั้งนั้น ที่เด่นสุดในภาคนี้ก็คงเป็น “เพทาย” ลูกชายกับ “เอ็นดู” ศรีภรรยา โดยเฉพาะฝ่ายหลังนั้นแทบจะดันกันออกนอกหน้านอกตาเลยทีเดียว
กับด้านเนื้อเรื่องนั้นก็มาตามสูตรหนังรักถูกขัดขวางที่มาแบบสูตรสำเร็จเป๊ะๆ ไม่มีอะไรเกินคาดเดา ส่วนเรื่องความสมเหตุสมผลนั้นบางทีก็อย่าได้ไปถามหา เพราะหนังมัวแต่จะขายความฮาอย่างเดียว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็มีอยู่หนึ่งอย่างที่ผมถือว่าเป็นเอกลักษณ์และชอบมากเป็นพิเศษก็คือ เรื่องสีสันในหนังที่ถ่ายทำออกมาได้สดใสสดชื่นดูแล้วสบายตาเพลินใจดีจริงๆ
หากใครอยากดูหนังไทยตลกเบาสมองสุดๆ ก็ต้องเรื่องนี้เลย “แหยมยโสธร 3” กับภาพยนตร์ตลกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน กับความฮาสนั่น เว่าอีสานสนุก คอสตูมสีแสบสัน ดูหนัง เขย่าลูกคอสุดไพเราะ ท่ามกลางบรรยากาศลูกทุ่งสุดชิล นำแสดงโดย หม่ำ จ๊กม๊ก, เจเน็ต เขียว, แวววาว วงษ์คำเหลา, อนุวัติ ทาระพันธุ์ ,เพทาย วงษ์คำเหลา, บิ๊กเอ็ม-กฤตฤทธิ์ บุตรพรม, ฟ้า-อิงฟ้า เกตุคำ, เฉิน เชิญยิ้ม, เอ็นดู วงษ์คำเหลา และนักแสดงอีกมากมาย ห้ามพลาดความสนุก 21 มกราคมนี้ ทางทรูโฟร์ยู ช่อง 24
เรื่องราวความฮาป่วน เริ่มต้นที่ “คฑาเทพ” (บิ๊กเอ็ม-กฤตฤทธิ์ บุตรพรม) ลูกชายอีกคนของกำนันแหยมกำลังจะเรียนจบกฎหมาย กลับมาเยี่ยมบ้านช่วงปิดเทอม ในระหว่างเดินทางกลับบ้านนั้นคฑาเทพก็ได้พบกับ “รำพัน” (อิงฟ้า เกตุคำ) หญิงสาวที่เดินทางกลับมาพร้อมกันโดยบังเอิญ และทั้งคู่ก็ตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกเห็น ความรักของทั้งคู่คงจะผลิบานอย่างที่ควรจะเป็น หากแต่ว่า รำพันดันเป็นลูกสาวคนโตของ “กำนันปอย” (เฉิน เชิญยิ้ม) เพื่อนรักเพื่อนแค้นในอดีตที่ไปแย่งแฟนเก่าของแหยมมา นั่นคือ “รำพึง” (เอ็นดู วงษ์คำเหลา) ซึ่งยังมี “รำเพย” (รัตติยาภรณ์ ภักดีล้น) ลูกสาวอีกคนที่เป็นถึงดาวประจำโรงเรียนที่คำผานดันตกหลุมรักเข้าให้อีก แล้วมีหรือที่คำผานจะพลาดการชิงชัยรักนี้
รีวิวหนัง แหยม ยโสธร 3

1.เราสงสัยมาตลอดว่า วงศ์คำเหลา เป็นความสำเร็จหรือความล้มเหลวกันแน่น เพราะในขณะที่หนังมันน่าเบื่อมากๆ มันก็radical มากในระดับที่สน่าสนใจดังที่มิตรสหายท่านหนึ่งเคยบอกว่านี่คือการเอาคนที่ปกติถูกผูกขาผูกขาดกับบทคนใช้ ให้ขึ้นมาแทนที่สลับตำแหน่งกับพวกผู้ลากมากดี เป็นการสับบทยาทชนิดที่อาจจะพลิกหน้ามือเป็นหลังตีนจากปวศ.ภาพยนตร์ไทยกระแสหลักที่ครองพื้นที่มาตลอด มากจนถึงขนาดที่การพูดภาษาถิ่นในหนังไทย
(ผ่านระบบการพากย์ ) คือการแปรรูปภาษาถิ่นให้เป้นลูกผสมของภาษากลางปลับภาษาถิ่น เลยเถิดไปถึงการไม่ใช้ภาษาถิ่นในหนังเลย การขยับตำแหน่งในวงศ์คำเหลา เป็นได้ทั้งการขบถของคนอีสานในฐานะตัวตลก คนใช้ แต่ในขณะเดียวกันมันอาจจะมาในรูปของการเล่นสนุกของคนใช้เวลาเจ้านายไม่อยู่บ้านไม่มีอะไรมากกว่านั้นก็ได้
2.ย้อนกลับไปหาแหยม แหลมภาคแรกนั้นน่าสนใจในสภาวะอาการนอสตาลเจียหนังสิบหกของตัวหม่ำเอง ที่สลับตำแหน่งแบบไม่มากนักกล่าวคือเปลี่ยนจากพื้นที่ของท้องทุ่งแบบนิยายไม้เมืองเดิม (ชาวบ้านลูกทุ่งพื้นราบภาคกลาง) ให้ไปเป็นชาวบ้านในภาคอีสานที่เป็นครั้งแรกๆที่เอาภาษาอีสานมาขึ้นจอในฐานะหนังกระแสหลัก (นับจาก ลูกอีสานของวิจิตร คุณาวุฒิ และ ในเวลาต่อมากับลุงบุญมีระลึกชาติ และ ฮักนะสารคาม) การสลับตำแหน่งแห่งทีของ
พื้นที่ (ทุ่งภาคกลาง VS ทุ่งอีสาน) ในแหยม เป็นอากาณนอสตาลเจียที่น่าสนใจ นาทึ่งแถมตัวหนังก็ยังดำเนินตามขนบหนังสิบหกมิตรเพชรา โดยเฉพาะมนต์รักลูทกทุ่งที่คราวนี้ลดบทบาทของมิตรเพชราลงแล้วหันไปเอาคู่ของบุปผา (ผ่านทางเจเนตเขียว) มาเป็นคู่นำ เป็นการสลับพื้นที่ทั้งของภูมิศาสตรื และของตัวละคร ที่ผลักตัวประกอบมาเป็นตัวนำ แต่แน่นอนทั้งมดอยุ่ในเซฟโซนของความเป็นหนังตลก
3.ความล้มเหลวของแหยม 2 ในสายตาของเรา อาจจะต้องประเมินใหม่ แหยมสองเล่นกับพื้นที่ของหนังตระกูลลูกสาวกำนันพ่อแง่แม่งอนกับปลัดหนุ่ม เว็บดูหนังฟรี แต่มันเละๆเทะๆ และถ้าดเราจำไม่ผิดหนังพยายามปรับลุคตัวเองให้คนเมืองกินได้ (เราอาจเข้าใจไปเอง แต่การเลือกพระเอกเป็นสมาชิก tattoo color (ที่แม้จะเป็นคนพื้นที่ก็ตาม) +กับการโปรโมตในงานแสดงเดี่ยวของหม่ำเองทำให้เกิดพื้นที่อิหลักอิเหลื่อ ของการอยากขายความเปิ่นเทิ่งเฉิ่มเชยของความเป้นอีสาน แต่ทำหีบห่อเผื่อคนเมือง ซึ่งคนเมืองก็ไม่รับ และพื้นที่ก็ไม่เอา
4.พอมาถึงแหยมสาม มันทำให้เราอาจจะต้องกลับไปประเมินแหยมสองใหม่ (ตัดสินวจอยุ่ว่ากูควรดูซ้ำไหม) หนังมันยังคงเล่นกับgenre หนังสิบหกแบบ พ่อแม่ไม่ถูกกันแต่ลูกมารักกัน หนังกลับไปเป็นแบบแหยม1เต็มตัวโดยการเดินหน้าเป็นหนังตลกเต็มสปีด และอุดมไปด้วยความเถื่อนถ่อยในมุกตลกแบบชาวบ้านที่คนเมืองอาจจะไม่ขำ และค่อนไปทางน่ารังเดียจ ยิ่งมุกมากกว่าครึ่งเป็นมุกเกี่ยวกับรูตูด ก็ยิ่งทำให้มันเถื่อนถ่อยแบบตลกคาเฟ่ ต้นธารของมันมากขึ้นเรื่อยๆ การที่หนังหันมาเป็นแบบเดิม หนังตลกค่าเฟ่ มิวสิคัล ทำให้มันกลับมาสวมรอยต่อกับแหยม1ได้น่าสนใจมากๆ
5.ไปอ่านเรื่องย่อแหยมสองเพื่อทบทวนมา พบว่า แหยมสองนั้นแหยมเปลี่ยนจากชาวนาไปเป็นกำนัน เป็นคนมีอันจะกินทีได้ส่วนแบ่งจากรัฐ มีหน้ามีตาในพื้นที่ (นำมาสู่พลอตลูกสาวกำนัน) แต่แหยมสาม(ซึ่งไปๆมาๆไม่ต่อเนื่องกับแหยามทั้งสองภาคนักในแง่ชีวิตแหยม) แหยมกลับมาเป็นคนธรรมดา และมีประวัติกับรำพึงเมียกำนันคนปัจุบัน การกลับมาเป็นชาวบ้านของแหยมทำให้เขาเป้น underdog อีกครั้ง และลงไปอยุ่ตำแหน่งเดียวกับชาวบ้านทั่วไป
หนังกลับมาประสานสอดคล้องกับความเป็นแหยมในภาคแรกอีกครั้งคนที่เป็นตัวประกอบอีกครั้ง
6.โอเคเข้าสู่ความเป้นตัวหนังจริงๆ มีสองสามอย่างที่เราคิดว่าน่าสนใจในการที่หนังทำเหมือนวงศ์คำเหลาคือกับมาล้อเล่นกับตัวหนังไทยในยุคสมัยนั้นเองด้วยกระบวนการ รีเมค เลียนแบบ ล้อเลียน อิงขนบ ต่อต้านและจำนนไปด้วย เป็นเหมือนการเบ่นสนุกของคนที่โดนกดทับ ซึ่งไม่ได้เรียกร้องการเปลี่ยนแปลง แต่ก็ไม่ได้ยอมจำนนด้วย ซึ่งมันมาในรูปแบบ
6.1 การทำให้ล้นเกิน : เสื้อผ้าหน้าผมของหนังไทย16 คือความล้นเกินโดยตัวของมันอยู่แล้ว เว็บดูหนัง เพราะทุกคนแม้จะเป็นชาวบ้านร้านตลาดแต่เสื้อผ้าหน้าผมเป๊ะแบบพร้อมจะเฉิดบนจอตลอดเวลา หนังทำแบบนี้มาตั้งแต่แหยมหนึ่งแต่การดำเนินไปในคราวนี้มันล้นเกินจนกลายเป็นการยั่วล้อ ความล้นเกินตามมาตรฐาน ลองดตัวละครยนกเอี้ยงที่ถูกกำนดเป็นนางร้ายของหนังที่นางมาเต็มทุกชุดผมเรียบตึงตลอดเวลา ราวกับว่าพร้อมจะขึ้นเวทีคอนเสริ์ต
หรือการให้สีผิดเพี้ยนของเสื้อผ้า (แน่นอนมันมาจากอิทะิพลของสี และของฟิลืมเก่าในหนังไทยสิบหกสีตก รวมไปถึงยุคสมัยเทคนิคคัลเลอร์นั้นเอง) เพียงแต่ในแหยม ความพยามยามให้ตลกผ่านทางการล้นเกิน มันมีรากมาจากการล้อเลี้ยนตัวขนบหนังเอง มันก็เลยมีบทสนทนาขึ้นมา ระหว่างความไม่สมจริง กับความไม่สมจริงจนล้นเกิน ราวกับถ้าหนัง16 จำลองชีวิตให้ไม่สมจริงเพื่อให้เป็นหนัง แหยมก็จำลองหนังสิบหกให้ยิ่งเห็นว่าเป็นหนังว่าด้วยการทำให้เห็นว่าเป็นหนัง
6.2 การสลับตำแหน่งแห่งที่ :ภาษาและซับไตเติ้ล จำไม่ได้แล้วว่าแหยมสองตอนแรกขึ้นซับอย่างไร
แต่แหยมสามน่าสนใจมากว่านอกจากการสลับภาษาหลักมาเป็นภาษาอีสาน (ไม่ต้องพูดเรื่องนี้ซ้ำ) หนังยังพยายามเล่นมุกผ่านซับไตเติ้ลภาษากลางที่ไม่ตรงความหมายที่แท้ เล่นเลยเถิดไปจากสิ่งที่พูดจริงๆ บางครั้งแทบจะเป็นการเปลรี่ยนความหมายใหม่ โดยเฉพาะมุกพ้ืนถิ่นที่เข้าใจกันเอง ‘สี่ คน’หรือ ‘ควาย ‘ ซับไตเติ้ลที่แปลบิดเบือนความหมายของหนังโดยไม่ได้ตั้งใจทำให้เปิด ช่องว่างระหว่างผู้ชมกับตัวละคร ผู้ขมพื้นถิ่นกับผู้ชมคนเมือง คนที่อื่น ช่องว่าง การเว้นระยะนี้อาจไม่ได้มีนัยยะทางอินเทลเลคอะไรมากไปกว่าความห่ามการเล่นสนุกแต่มันน่าสนใจดีทีเดียว ว่าหนังพยายามกลบเกลื่อนหรือทำให้เเห้นเด่นชัดถึงความปริแตกรอยต่อของโลกสองภาษา ภาษากลาง VS ภาษาถิ่น ภาษาเขียนVSภาษาพูด

ตัวละครที่น่าสนใจมากๆในเรื่องคือคฑาเทพ กับคำผาน ซึ่งเสมอกันในฐานะพี่น้อง แต่คฑาเทพทัง้ชื่อทั้งหน้ากลายเป็นภาพแทนของพระเอกชาวกรุง แต่แน่นอน คฑาเทพพูดอีสานเป็นไฟ ในณะที่คำผานใช้ลูกหม่ำเล่นเอง พูดกลางมาตั้งแต่ภาคสอง ชอบกรุงเทพ เป็นคนเดียวที่ไม่ขึ้นซับไตเติ้ล (แม้แต่ข้าราชการในหนังเรื่องนี้ก็พูดภาษาถิ่น) คำผานเป็นตัวละครที่อาาจจะเป็นสะพานเชื่อมผู้ชมอื่นกับผู้ชมท้องถิ่น แต่คำผานกลายเป็นพวกโง่ทึ่ม เป็นตัวละครที่ไม่น่าจะฝากชีวิตอะไรได้ การสลับตำแหน่งแห่งที่ของคฑาเทพกับคำผานเลยกลายเป็นการยั่วล้อ อีกครั้ง ความไม่สมจริงในตัวขนบของหนังไทยเอง
6.3 การเป็นส่วนหนึ่ง การเป็นอื่น : OST เพลงลูกทุ่ง น่าสนใจมากว่านอกจากการพูดอีสานแล้ว ทั้งมหดของหนังยังเป็นดนตรีประกอบ แบบเพลงลูกทุ่งหมอลำ (แน่นอนเป็นหมอลำแบบลูกทุ่งประสาลูกทุ่งลาวฝั่งขวายุคจีไอ มากกว่าหมอลำพื้นถิ่นแบบดั้งเดิม) อย่างไรก็ตาม ฉากมิวสิคัลของหนังอย่างน้อยสองฉาก ใช้เพลงของยอดรัด สลักใจอย่าง รอวันเธอว่าง ซึ่งมันน่าสนใจมากว่าคนที่ร้องเพลงนี้คือคฑาเทพกับคำผาน คนที่ผ่านเมือง และกำลังจะเข้าเมือง เพลงลูกทุ่งในหนังไม่ได้ทำหน้าที่บอกอัตลักษณ์อะไรมากไปว่าการเป็นเพลงลุกทุ่งโดยรวมกล่าวคือไม่ว่าจะเพลงลุกทุ่งอีสาน หรือลูกทุ่งยอดรักก็เป็นอาการนอสตาลเจียทั้งสิ้น มันเลยไม่ใช่การขบถแบบมีระบบมากกว่าการเล่นสนุกของคนอีสานผ่านเมือง
6.4 การเฉลิมฉลองความไม่ศิวิไลซ์ : ความเถื่อนถ่อยของมุกตลก ที่เราชอบที่สุดในหนังคือสิ่งนี้ ความไม่ประนีประนอมของการใส่มุกตลก ขี้ๆตูดๆ หรือการใส่มุกให้ตัวละครกะเทยมีผู้ชายขอ พร้อมเพลงรักกระเทยเต็มๆเพลงหนึ่ง กระเทยในหนังแรดิคับลกว่าน้องภูน้องธีร์ในแง่ที่พวกเขาอยู่ในสังคมเดียวกับคนอื่นและดูเหมือนอยู่ในยุโทเปียได้แต่งงานกบัลูกสส. หนุนตัก ป้อนกล้วย ฟังเพลงรักกระเทยเท่าฟ้า แต่แน่นอนมันคือ safe zonของหนังตลกที่เอาไว้เหยียดกระเทยในคราวเดียวด้วย
โดยรวมมันเลยทำหน้าที่เป็นมุกตลก ของโลกเดิมนั่นแหละ แต่มันก็เปิดเผยความไม่อินังขังขอบในการเป็นรักร่วมเพศ พอๆกับการไม่แยกของต่ำของสูง การล้อเล่นแบบชาวบ้านที่มีแนวระนาบของความหยาบโลนโดยไม่มีศักดินาในรูปมารยาททางสังคม มันคือรูปแบบของตลกคาเฟ่ที่คนเมืองอาจจะเบือนหนาหนี แต่มันมีสุนทรียะของมันที่น่าสนใจอยู่
อีกฉากที่น่าสนใจคือฉากคณะกรรมการประกวดร้องเพลง ที่หนังแทนที่จะล้อเดอะสตาร์ เอเอฟ กลายเป็นหนังล้อสิ่งที่แมสมากๆสำหรับมวลชนนั่นคือการประกวดดันดาราของตีสิบ รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากๆๆๆ (ฉากด่ากันในงานประกวดก็เต้มไปด้วยมุกตลกใต้สะดือ มุกต่ำๆอย่างไหลลื่นต่อเนื่องและระคายเคืองต่อผู้ชมศีลธรรมจัดมากๆ)

7.แต่สิ่งที่เราสนใจที่สุดในหนังคือกรุงเทพ ในแหยมหนึ่ง การไปกรุงเทพของเจ้ยและคุณนางเอก หรุงเพททำหน้าที่เป็นสิ่งชั่วร้ายที่พรากคนรักไป (แต่หนังก็ตีมือด้วยการให้อีเจ้ยไปสวยจากบางกอกกลับมาอยุ่บ้าน) ในแหยม1มันล้อหนังยุคมิตร เพชรา แต่พอมาแหยมสองกรุงเทพเดินทางมาเป็นปลัดอำเภอที่กวนตีนจนน่าถีบ ความสัมพันธ์ของแหลมกับกรุงเทพจึงยั่วล้อขนบของหนังลูกทุ่งอยู่ไม่น้อย และยิ่งภาคสาม หนังล้อหนังยุคถัดมา ว่ากันตามจริงก็น่าจะช่วงยุค70’s ปลายๆ ในคราวนี้ หนังไม่ได้จบด้วยฉาก อีเจ้ยกลับจากกรุงเทพเมือ่ชั่วร้ายอีกแล้ว กรุงเทพกลายเป็นเมืองความหวัง ที่แหยมมาส่งลุกเข้าบางกอกไปเรียหนังสือ สถานะของบ้านนอกกับกรุงเทพที่พลิกไปพลิกมา ทั้งทำลายและสร้างหวังเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากๆ
8.ถึงที่สุดมันน่าสนใจว่าความสัมพันธ์ของกรุงเทพกับชนบทเป็นอย่างไร ในสายตาของคนเมืองเราอาจผ่าแบ่งกรุงเทพกับชนบทออกจากกันในภาวะดำขาว เมืองชั่ว บ้านนอกดี แต่ในสายตาการมองกลับมันไม่ได้เป้นอย่างนั้นเพราะมันเต็มไปด้วยการปรับประสานต่อรอง การเลือกเข้าเอาออก การอยากเป็นอย่างนั้นและการปฏิเสธจะเป็นอย่างนั้น การกดขี่และการเอาคืน ในพื้นที่ของหนังตลก และจำเพาะเจาะจงต่อพื้นที่หนังตลกนี่เองที่พื้นที่ของการบ่อนเซาะความหมายดั้งเดิมจะถูกทำให้เห็นเด่นชัดโดยผ่านมุกตลกที่พูดถึงควาไมม่เข้ากัน ความเข้ากันไม่ได้ของคนสองส่วน มันจึงน่าสนใจมากว่า หนังตลกเป็นพื้นที่ No Man’s Land ของการอธิบายความสัมพันธ์แบบนี้
แน่นอนว่านี่พูดไปพุดมาดูเหมือนแหยมจะเป็นหนังอีกเรื่องไป เราขอยืนยันว่ามันเป็นหนังตลกขายความเป็นอีสาน ขายมุกต่ำอย่างที่เข้าใจกันนั่นแหละ แต่ในโลกของความไ่ตั้งใจสิ่งที่หนังเผลอพูดออกมามันช่างน่าสนใจจนไม่อาจปล่อยผ่านได้เลยทีเดียว