รีวิวหนัง ปัญญา เรณู 3 ตอนรูปูรูปี

เดินทางมาถึงภาคที่ 3 กับ ปัญญาเรณู ที่ครั้งนี้มาในชื่อตอน รูปูรูปี อันเนื่องมากจากเหตุการณ์ส่วนใหญ่ของภาคนี้เกิดขึ้นที่ประเทศอินเดีย ซึ่งครั้งนี้ไม่มีดาราแม่เหล็กอย่าง หม่ำ จ๊กม๊ก และ ตุ๊กกี้ รีวิวหนัง ปัญญา เรณู 3 ตอนรูปูรูปี มาร่วมเรียกแขก และที่สำคัญพระเอกทั้งสองภาคก่อนหน้านี้อย่าง ปัญญา ที่รับบทโดย โชติวัตร์ พลรัศมี ก็ไม่ได้ปรากฏตัวในภาคนี้เช่นเดียวกัน ส่วนสาเหตุที่พระเอกปัญญาทำไมถึงไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในภาค 3 นั้น ก็ลองค้นหาข่าวในกูเกิลดูน่ะครับ

รีวิวหนังไทย ฉะนั้น ปัญญาเรณู 3 ตอน รูปูรูปี จึงคล้ายเป็นภาคต่อกึ่งรีแบรนด์ให้ตัวเองใหม่โดยใช้ชื่อตอนมาต่อท้าย ที่นักแสดงเด็กที่เคยแสดงในภาคที่แล้ว กลับมาในชื่อใหม่ สุธิดา หงษา จากเรณูก็กลายมาเป็นน้ำขิง บุญฤทธิ์ จันทร์แก้ว หรือบักจอบในภาคที่แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นเปเล่ โดยการออกแบบงานสร้างยังให้อารมณ์ปัญญาเรณูดุจเดิม ทั้งการละเล่นแบบบ้านๆ ลูกชาวนา หรือการเรียกเสียงฮาด้วยมุขต่างๆ ก็ยังคงมีอยู่แต่?
ด้วยจดหมายเชิญให้มาทอดผ้าป่าที่พุทธคยาในประเทศอินเดียและอยากนำการแสดง ของไทยมาโชว์ด้วย หลวงพ่อจึงได้นำเหล่าเด็กๆ กลุ่มที่น้ำโดยน้ำขิงและเปเล่ไปยังอินเดียด้วยเพื่อไปทำการแสดงระบำโปงลาง ให้ชาวอินเดียได้ชม การเดินทางเต็มไปด้วยความบันเทิงและเสียงหัวเราะจนกระทั่งมีโจรมาปล้นรถ โดยสารของคณะเดินทาง ทำให้เหล่าเด็กๆ ต้องตกรถ พวกเขาต้องเอาตัวรอดท่ามกลางสถานที่และภาษาที่ไม่รู้จัก
รีวิวหนัง ปัญญา เรณู 3 ตอนรูปูรูปี
หลังจากที่กลุ่มเด็กได้แยกตัวออกมาจากคณะเดินทาง ทิศทางของเรื่องราวใน ปัญญาเรณู 3 นี้ ก็ค่อยๆ เผยให้เห็นตัวตนของตัวเอง ที่ถือว่ามาในทิศทางที่แตกต่างจาก 2 เว็บดูหนัง ภาคก่อนค่อนข้างมาก จากเรื่องราวรักในวัยเด็กระหว่างปัญญาและเรณูที่มาพร้อมเสียงหัวเราะ ในขณะที่มีความจริงจังในตัวกับภารกิจสำคัญของเรื่อง ที่สอดแทรกความเป็นไทยลงไป จนเป็นรสชาติแปลกใหม่ที่ได้รับการบอกต่อของผู้ชมในภาคแรก และต้อนรับที่ดีจากผู้ชมในภาคสอง จนทำให้หนังเดินทางมาถึงภาคสาม
เสน่ห์เดิมๆ ที่เคยมีที่ทำให้ผู้ชมรักหนังเรื่องนี้ ในภาคนี้มันดูจืดจางลงไป มุขฮาที่ได้มาจากการกระทำอันไร้เดียงสาของเด็กหรือสถานการณ์ต่างๆ ในเรื่องก็ดูอ่อนลงไม่ได้โดดเด่นและคมคายเหมือนเดิม รวมถึงประเด็นดราม่าของการเดินทางเพื่อเอาชีวิตรอดของเหล่าเด็กๆ ก็ดูจะมาในเบอร์ที่หนักเกินไป แม้จะมีเด็กอินเดีย กุ๊ดดู กุมาร มาช่วยให้อมยิ้มเล็กๆ กับปัญหาเรื่องราวสื่อสาร แต่ก็ต้องยอมรับว่าการพาหนังมาในทิศทางนี้ทำให้ตลอดการชมครึ่งหลังของหนัง เต็มไปด้วยความอดอัด
หากจะมองอีกมุมมันก็อาจเป็นการทดลองของ บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ผู้กำกับของเรื่อง ที่ในเมื่อองค์ประกอบที่เคยมีในภาคก่อนไม่มีในภาคนี้ การทดลองทำอะไรที่มันแตกต่างก็อาจจะเป็นการแผ่วถางทางเพื่อดูว่าคนดูจะคิด เห็นและตอบรับกับทิศทางนี้มากน้อยแค่ไหน เพื่อนำไปใช้กับ ปัญญาเรณู ตอนใหม่ต่อไป (ถ้ามี) ในอนาคต!
แม้จะมีปัญหาจากการนำเสนอเรื่องราวในหนังเพียงไรก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัญญาเรณู 3 ตอน รูปูรูปี มีพัฒนาการในด้านของการเซ็ตฉากถ่ายทำ รวมถึงการตั้งกล้องถ่ายทำที่ออกมาสวยโดดเด่นมาก หนังถ่ายทอดสภาพแวดล้อมในประเทศอินเดียในแบบที่ไม่น่าอภิรมณ์นัก แต่ก็ยังสามารถหามุมมองอันงดงามได้อยู่ ซึ่งต้องถือว่านี่เป็นส่วนที่มีพัฒนาการที่สวนทางกับเรื่องราวในหนังและจะ ว่าไปมันเป็นส่วนที่ดีที่สุดในหนังเรื่องนี้
กลุ่มเด็กกลุ่มใหม่ที่เป็นตัวเดินเรื่องของภาคนี้ ก็ถือว่าทำหน้าที่ได้ดีในระดับเอาตัวรอดเท่านั้น ไม่ได้มีเสน่ห์น่ารักแบบที่เราเคยสัมผัสได้ในภาคก่อน ซึ่งจุดนี้คงต้องไปตั้งเครื่องหมายคำถามกับบทภาพยนตร์มากกว่า หนังเป็นเจ้าของฉากจบที่ห้วนๆ พอสมควร ที่เผยให้เห็นฉากสุดท้ายกับการแสดงโปงลางและปล่อยให้ผู้ชมจินตนาการเรื่อง ราวเอาเอง ที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกถูกทอดทิ้งเหมือนหลงทางอยู่ในอินเดียก็ไม่ปาน
      ใช่ครับ ทั้งหมดผมจะคิดเรื่องเอง เขียนบทเอง กำกับเอง แต่เรื่องราวจะไม่ต่อเนื่องจากภาคที่แล้ว ดูหนังออนไลน์ จะเปลี่ยนเป็นเรื่องใหม่เลย แต่ตัวแสดงก็มีทั้งทีมเก่าจากปัญญาเรณูทั้งสองภาคและก็จะมีน้องๆ นักแสดงหน้าใหม่เข้ามาเสริมความสนุก น้องๆ สุดยอดเล่นดีมากๆ ผมคิดว่าคำว่า “ปัญญาเรณู” คงเป็นอะไรที่ประทับใจมาตั้งแต่ภาค 1-2 ก็เลยคิดว่าคงไม่ทิ้งเรื่องปัญญาเรณูไป ก็จะเป็น “ปัญญาเรณู 3 ตอนรูปูรูปี” ที่ไปบุกอินเดียกัน
เรื่องราวก็มาจากตอนที่เราไปประเทศอินเดียแล้วมีพระเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่าคนไทยจะเดินทางไปประเทศอินเดียปีหนึ่งหลายสิบล้านคน ไปไหว้พระไปตามสถานที่ต่างๆ ของพระพุทธเจ้า แล้วเมืองพุทธคยา ที่เราอยู่เป็นเมืองที่พระพุทธเจ้าไปตรัสรู้ที่นั่น เรารู้สึกว่ามันเป็นเมืองที่สำคัญจริงๆ เขาบอกว่าเวลาคนไทยเอารถทัวร์มาทอดผ้าป่าก็จะมีรถบางคันโดนโจรที่ประเทศอินเดียปล้นแล้วเรื่องจริงมีพระองค์หนึ่งที่โดนแทงแล้วปล้นเอาทรัพย์สินไปได้ประมาณ 2-3 ล้านบาท หลายครั้งมาก
เราก็เลยคิดเรื่องราวของเด็กภาคอีสานกับเด็กที่อินเดียมาเจอกัน มีการหลงทางผจญภัยสนุกๆ เกิดขึ้น มีการทอดผ้าป่าทอดกฐินกัน คือพระจากประเทศอินเดียขอผ้าป่ามาที่พระไทย แล้วพระไทยก็เอาไปทอดที่ประเทศอินเดีย แล้วก็มีวัฒนธรรมจากภาคอีสานไปโชว์ที่อินเดียด้วย

รีวิวหนัง ปัญญา เรณู 3 ตอนรูปูรูปี

เราก็เอาเด็กทั้งหมดเดินทางไปประเทศอินเดียเพื่อจะไปโชว์โปงลางศิลปวัฒนธรรมของภาคอีสาน ดูหนัง แล้วทางอินเดียจะมีโชว์ระบำแขกโชว์อะไรของเขา เราก็จัดเซ็ตฉากขึ้นมาแบบอลังการที่ประเทศอินเดีย เรื่องตัวประกอบ extra ไม่ต้องห่วงเขามาทีเป็นพันๆ คนเข้ามาดูกัน คือเราทำงานยากมาก แต่ก็ถือว่าโอเคเป็นงานอะไรที่มันแปลกใหม่ของเด็กๆ ภาคอีสาน  แล้วเมืองพุทธคยาก็ไม่เคยมีใครไปถ่ายหนังที่นั่นเลย เพราะว่ามันสุดสาหัสสากรรจ์มากจริงๆ
เรื่องราวก็จะสะท้อนวัฒนธรรมไทยและอินเดียบวกกับประสบการณ์จริงที่ได้ฟังและพบเห็นมา ก็จะยังเป็นเรื่องราวของเด็กอีสานอยู่ มันจะมีภาษาอีสานแล้วก็ภาษาอังกฤษ ภาษาอินเดียปะปนกันไปด้วยความเหมาะสมของท้องเรื่องน่าจะเป็นอย่างงั้น แต่เนื้อเรื่องผมคิดว่าหลายๆ
คนคงจะเดาลำบาก เดายาก จะเกิดเหตุการณ์ซึ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นแล้วมันเกิดกับเด็กกลุ่มหนึ่ง 7-8 คน ดูซิว่าอินเดียที่พวกเขาเพิ่งไปครั้งแรกแล้วเขาไม่รู้อะไรเลย ภาษาก็ไม่รู้ แล้วเขาต้องพลัดพรากจากกลุ่มที่เขาไป แล้วต้องหาทางกลับวัดหาทางกลับประเทศไทยโดยไปเจอกลุ่มเด็กอินเดีย มันมีเรื่องอะไรมากมายหลายอย่าง เรื่องนี้ผมมั่นใจว่าจะออกมาสนุกแล้วมันจะมีดราม่าของเด็กที่แบบ…ผมพูดไม่ถูก ก็ลองไปดูละกันว่ามันจะขนาดไหนครับ ดูหนังฟรี
ใช่ฮะ มันไม่ได้เกี่ยวกับความรักของเด็กเลย แต่จะเป็นความรักระหว่างเพื่อนที่ช่วยกัน พยายามทำยังไงก็ได้ให้ได้กลับบ้าน มีคนเขาบอกว่าเวลาไปอยู่ต่างประเทศแล้วนิสัยที่แท้จริงจะออกมาคือความเห็นแก่ตัว ใครเห็นแก่ตัวจะออกมาหมด แต่กลุ่มนี้พอมีอะไรไม่ดีกับกลุ่ม มันก็มาคุยกันแล้วก็ตกลงว่านิสัยอย่างนี้อย่านะ เรามาอยู่ด้วยกันเราต้องช่วยเหลือกันให้รอดจากประเทศนี้เมืองนี้ ต้องกลับบ้านเราให้ได้ มันเป็นความคิดของเด็กๆ แล้วมันก็สามารถชนะทุกสิ่งทุกอย่างได้ด้วยความรักสามัคคีกันเอง
ผมว่ามันเป็นแนวความชอบส่วนตัวของผมมากกว่า เพราะว่าความถนัดจริงๆ มันก็คงได้หลายรูปแบบ แต่ความชอบจริงๆ ผมชอบอะไรที่เป็นเด็กๆ ที่เล่นเป็นธรรมชาติ มันมีความบริสุทธิ์ของเด็กอยู่แล้ว เราไม่ต้องไปเสี้ยมสอนอะไรมากมาย ไม่ต้องให้เขารับสิ่งที่เกินเด็กที่จะรับไป ผมชอบแนวอย่างนี้ อยากจะถ่ายทอดให้หลายคนได้ชมกัน
รีวิวหนัง ปัญญา เรณู 3 ตอนรูปูรูปี
บางคนถามว่าทำไมต้อง “รูปูรูปี” รูปูก็เป็นเด็กอีสานที่ชอบขุดรูปู ชอบหากบหาเขียดประมาณอย่างนี้ ส่วนรูปีก็เป็นเงินตราของอินเดีย แล้วเด็กในอินเดียพวกเด็กไทยก็ไม่รู้จะเรียกอะไรดีก็เรียกรูปีไปเลยละกัน มันก็เป็นรูปูรูปีสองชาติมาเจอกันแค่นั้นเอง ไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมืองอะไรทั้งนั้นครับ
การถ่ายทำเรื่องนี้ในต่างแดนมีความยากมากน้อยแค่ไหน
ก็ยากนะครับในช่วงที่ไปถ่ายที่นั่น เพราะว่าทีมงานเราเกือบร้อยคนที่ต้องเดินทางไปประเทศอินเดีย แล้วมีเด็กอยู่ประมาณครึ่งหนึ่ง ผู้ใหญ่ครึ่งหนึ่ง เด็กอยู่ประมาณ 40 กว่าคน ด้วยความยากลำบากคือมันต้องแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม แต่กลุ่มของผมจะไปก่อนประมาณ 2 อาทิตย์เพื่อไปดูโลเกชั่น สถานที่พัก ดูอะไรกับกองถ่ายที่จะต้องตามมา แล้วระหว่างที่ไปแล้วก็ได้ข่าวว่ามีคนมีปัญหากับตั๋วเครื่องบิน คนนั้นมาไม่ได้ คนนี้มาไม่ได้ มันก็เลยหยุด เราก็ต้องรออยู่ที่นั่นอีกอาทิตย์หนึ่ง จริงๆ แล้วกะว่าจะอยู่สัก 2-3 อาทิตย์ ก็เลยเพิ่มเป็นประมาณ 4-5 อาทิตย์ที่ต้องถ่ายทำและต้องอยู่ที่นั่นตลอด
แล้วตอนที่เราไปถ่ายทำที่นั่นคือเดือนเมษายน-พฤษภาคม อากาศมัน 45-50 องศา เว็บดูหนังฟรี ตั้งแต่สนามบินเด็กท้องเสีย เลือดกำเดาไหล สนามบินวุ่นวายไปหมด อุปกรณ์ทั้งหมดขนมาจากประเทศไทยเพราะว่าเราไม่สามารถใช้จากที่นั่นได้เลย ที่นั่นไม่มีอะไรเลย
เราคิดดูแล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราจากหนักขอให้มันเป็นเบา เพราะถือว่าเป็นเมืองพุทธเป็นเมืองสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เราก็ไปกราบไหว้พุทธเมตตาเป็นสถานที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ที่นั่น แล้วขอพรให้หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จจากที่เรามาถ่ายที่พุทธคยา ขอให้อย่ามีอุปสรรคอะไรเกิดขึ้น
ขออยากทำอะไรก็ขอให้ได้ คือเด็กๆ นั่งเครื่องกันมา 4-5 ชั่วโมง แล้วต้องนั่งรถจากสนามบินมาที่พุทธคยาอีก 11 ชั่วโมงมาถึงที่พักประมาณเกือบตี 3 ตี 4 ก็ค่อนข้างวุ่นวาย เด็กก็จะงอแง เด็กบางคนป่วยก็ต้องพักอีก 2 วัน จากนั้นก็เริ่มทำพิธีที่สถานที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้
 ทำพิธีกันก็เกิดปิติดีมาก เชื่อไหมว่าตั้งแต่เปิดกล้องอุปสรรคที่เรากลัวว่าจะถ่ายไม่ได้ คนนั้นจะไม่ให้ความร่วมมือ ทุกอย่างเรียบร้อยหมด แต่ด้วยที่ว่าเราเป็นกองที่ใหญ่คนทำงานก็เยอะ เราต้องจ้างล่ามหลายสิบคนคอยกันคอยนั่นนี่ จ้างตำรวจวันหนึ่งหลายสิบคนเพื่อกันพวกที่จะมาขโมยของในกองถ่าย
 เพราะเป็นเมืองที่ขอทานเยอะสุด ไม่กลัวเกรงกฎหมาย แต่จะกลัวตำรวจ กองถ่ายไม่มีตำรวจไม่ได้ จากที่คิดว่าถ่ายไม่ได้ก็ถ่ายไปได้ด้วยดี ตอนนั้นก็ช้านิดนึงแต่อุปสรรคมันก็มีบ้าง ไม่ใช่ว่าไม่มี ที่ประเทศไทยก็มีอุปสรรค แต่ที่นั่นสาหัสสากรรจ์กว่าจริงๆ แต่มันก็ค่อยๆ หายไปจนถ่ายเสร็จด้วยดี
ภาพยนตร์สะท้อนกลิ่นอายวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวอีสานส่งผ่านให้ชาวต่างชาติได้รับรู้ จากเรื่องราวความม่วนซื่นในการเดินทางของ “น้ำขิง” (สุธิดา หงษา) และเพื่อนๆ จากหมู่บ้านชนบทของไทยสู่เมืองพุทธคยา เพื่อไปทอดผ้าป่าและแสดงโปงลาง-วัฒนธรรมพื้นบ้านของภาคอีสานที่วัดไทยในอินเดีย
เรื่องราวสนุกสนานและประทับใจเริ่มต้นตั้งแต่การเตรียมตัวขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรก จนกระทั่งเดินทางไปถึงอินเดีย แต่ในระหว่างที่กลุ่มเด็กๆ พักอยู่ที่อินเดีย ทางวัดได้พาเด็กๆ ไปเที่ยว ขณะนั้นเองที่กลุ่มเด็กๆ เกิดพลัดหลงจากคณะของพระโดยไม่คาดคิด