รีวิวหนัง กาลครั้งหนึ่ง จนวันนี้

ทุกคนต้องเคยมี “รักครั้งแรก” และทุกคนก็ย่อมต้องเคยมี “เรื่องฝังใจ” เมื่อรักครั้งแรกและเรื่องฝังใจ คือเรื่องเดียวกัน มันจึงยิ่งทำให้เรื่องนั้นยังคงฝังอยู่ในใจไม่เคยจางหาย รีวิวหนัง กาลครั้งหนึ่ง จนวันนี้

“กาลครั้งหนึ่ง… จนวันนี้” เป็นเรื่องราวของตัวละครที่จมอยู่กับปมความรักที่ผ่านพ้นไปแล้ว แต่แม้เวลาจะผ่านไปนานถึง 15 ปี เขาก็ยังไม่ลืมความรักครั้งแรก ยังคงรอคอย รอจนแทบจะหมดหวัง และพยายามบอกตัวเองว่าให้ลืม แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่
รีวิวหนัง กาลครั้งหนึ่ง จนวันนี้
เรื่องแบบนี้มีจริงในโลกของเรา แต่น้อยคนนักที่จะเข้าใจความรู้สึกของการรอคอย เป็นความท้าทายของภาพยนตร์เรื่องนี้ในการทำให้คนดูเชื่อ เชื่อว่าถ้าเรารักใครจริงๆ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ความรักก็จะยังคงอยู่ตลอดไป ความรักอยู่เหนือกาลเวลา เมื่อเราเชื่อในความรัก “ปาฎิหาริย์” ก็จะเกิดขึ้น
แม้ว่าสิ่งที่ “กาลครั้งหนึ่ง… จนวันนี้” กำลังจะบอก อาจจะขัดต่อคำสอนของใครหลายคน ที่ให้ลืมอดีตและอยู่กับปัจจุบันซะ แต่ “กาลครั้งหนึ่ง… จนวันนี้” ดูหนังออนไลน์ ก็จะไม่ตัดสินว่าสิ่งที่ตัวละครทำนั้นถูกหรือผิด เพียงแต่ลองลดการทำงานของสมอง เลิกกำหนดเส้นทางเดินหรือสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมาเป็นกรอบความคิด แล้วปล่อยให้หัวใจและความรู้สึกได้นำพาไปทำในสิ่งที่ต้องการ แล้วผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร จะรักใครหรือเลือกทางไหน คนดูต้องเลือกเอาเอง
รีวิวหนังไทย “ต้น” เด็กชายแสนสุภาพ ขี้อาย กลับต้องกลายเป็นเพื่อนคู่ซี้กับ “แก้ว” เด็กสาวจอมแก่นหัวโจกประจำห้องเรียน ด้วยความที่แก้วมักชอบชวนต้นทำบางสิ่งที่เด็กทั่วไปไม่กล้าทำบ่อยๆ ต้นเองก็จะถูกทำโทษ รับเคราะห์แทนแก้วอยู่บ่อยครั้ง..
วันเวลาผ่านไป ทั้งสองเติบโตมาด้วยกันจนเข้าสู่วัยรุ่น “ต้น”  เริ่มคิดว่าตัวเองมีความรู้สึกดีๆ กับ “แก้ว” มากกว่าความเป็นเพื่อนซะแล้ว แต่ไม่กล้าบอกความในใจ   หลังจากเหตุการณ์ที่ทั้งคู่พลัดหลงป่าจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด   ทำให้แก้วเริ่มมองเพื่อนหนุ่มคนนี้ด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน….
ก่อนที่ทั้งคู่จะเปิดใจกันและกันให้อีกฝ่ายรับรู้…แต่แล้วจู่ๆ ครอบครัวของแก้วก็หายไปจากหมู่บ้านอย่างกระทันหันโดยไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และต้นเองก็ไม่เคยได้ข่าวคราวของแก้วอีกเลย…
รีวิวหนัง กาลครั้งหนึ่ง จนวันนี้
ดูแล้วเหมือนดูแฟนฉันผสมสิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก พล็อตบางส่วนก๊อปมาเลยแอบเซ็ง คิดไม่ออกเหรอ ทำไมใช้พล็อตซ้ำ ส่วนฉากหลงทางในป่ากลางสายฝนแถมยังเจ็บตัวเปียกปอนนี่มุกคลาสสิคหนังเก่าแทบทุกเรื่องทุกประเทศใช้กัน ยังกล้าเอามาใช้เนอะ อยากให้มีความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆบ้างไรบ้างนะคะ แหม่ – -* โทนสีหนังเป็นแบบนวลๆเหลืองๆให้ความรู้สึกเก่าๆหน่อย บางฉากก็เหลืองส้มไปหมดเลย ฟิลเตอร์หนักไปนะ เพลงประกอบใส่เพื่อบิ๊วอารมณ์คนดูไม่ยั้ง อย่างช่วงวัยเด็กนี่ใช้เพลง Canon ถี่ิยิบแบบเต็มเพลง  ….วัยโตก็เพลงนี่คือรักแท้ใช่ไหม โดย ธนนท์ The voice ถามว่าอินมั้ย…ไม่!!
บางจุดเนื้อเรื่องหรือคำพูดไม่สมเหตุสมผล เหมือนจากฉาก 1 ไปฉาก 2 ถ่ายฉาก 2 ไว้ 2 แบบ แต่พอตัดต่อ ดันใส่มาเป็น ฉาก 1 ต่อด้วย 2แบบ1 และต่อด้วย 2แบบ2 ดูละเลยแบบ เฮ่ย!!….ไม่รู้ใครสังเกตุรึเปล่านะ (ฉากหลังเก็บมะม่วง) แล้วบ้านอยู่ใกล้กันมาก แต่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย มันก็เกินไป นางเอกย้ายบ้านตัวเองไม่รู้เรื่องงี้ มีเสียงปืนเหมือนยิงปะทะ แต่เนื้อเรื่องต่อจากนั้นเหมือนไปก่อนยังไม่ได้ยิงปะทะงี้
บางฉากก็เน้นซะเยอะ แล้วก็ปล่อยให้หายไปหลังจากนั้น อย่างเรื่องของปู่ หรือว่าเรื่องในป่า แต่บางเรื่องที่ควรเน้นกลับไม่เน้น เรื่องของเป้กับตาลนี่น้อยไปมาก ดูแล้วไม่อินให้เวลาน้อยเหลือเกิน จนไม่รู้สึกว่านี่คือแฟนกัน จนรู้สึกว่าตาลงี่เง่า ไม่ทำให้เชียร์ให้ตาลได้คู่กับต้นเลย จริงๆอาจจะถ่ายคู่นี้ไว้เยอะกว่านี้ แต่ตัดใจเอามาใส่หนังไม่ลงเพราะเล่นแข็งเหลือเกิน ตาลแข็งอันดับ 1 ต้น(เป้) อันดับ 2 สุดๆไปเลย
บทพ่อแก้ว “ชัย” รับบทโดย ปราปต์ปฎล สุวรรณบาง….ไม่รู้จะเอาไงกะเค้าแน่ เดี๋ยวเซอร์เดี๋ยวก็แลดูเนี๊ยบ(ต้องบ่นคอสตูมกับช่างแต่งหน้าใช่มั้ย) ฉากที่มาทักแก้วในครัว หล่อไปป่าว แล้วสายตาคนมาดุลูก ตอนแรกนึกว่าจะมาเคลมลูกตัวเองละ ตาหวานเกิ๊น
อ้อ เกลียดอยู่อย่าง คือเรื่องการพูดคำหยาบของนางเอก เข้าใจนะว่าอยากแสดงออกว่าแก้วเป็นหญิงห้าว ดูหนัง  แต่ไม่ต้องยัดคำว่า “วะ” ใส่ไปมากมายก็ได้ ใส่ไปมากพอๆกับการโฆษณาสปอนเซอร์ที่หรายู่ในจอ โดยเฉพาะฉากต้นๆเรื่อง คำนี้ไม่พูดก็ไม่มีผลให้แก้วดูห้าวน้อยลงเลยนะ(จริงๆคือใส่ไปก็ไม่ได้ดูห้าวเลย เพราะเสียงแก้วงุ้งงิ้งมาก)  จะพูดก็ได้แต่ต้องธรรมชาติกว่านี้ปะ นี่บางช่วงยัดไปซะหนักเลย บางช่วงลืมคับท่าน ไม่วะซักคำแถมประโยคแบ้วซะ
อีกอย่างการแต่งหน้า(อันนี้คุณแฟนฝากบ่นมา ฮีบ่นเรื่องการแต่งหน้าทุกเรื่อง) จอมันใหญ่ ภาพมันชัด เห็นการโบกชัดเลย การแต่งหน้าตาลก็เหมือนยังคิดสไตล์เค้าไม่ออก ฉากแรกมาผิวแทนมาเชียวแลดูลูกครึ่ง อีกฉากขาวเกาหลี อีกฉากงาน Press ดันโทรม ส่วนแก้วทรงผมฉากจบนั่นมันอัลไล
“กาลครั้งหนึ่ง…จนวันนี้” หนังไทยเรื่องที่ 4 ของปี 2557 และน่าจะเป็นหนังรักเรื่องแรกของปีนี้ จะเข้าฉายในบ้านเราสุดสัปดาห์นี้ครับ และเราก็ได้อีเมลสัมภาษณ์ผู้กำกับผดุง สมาจาร อีกหนึ่งผู้กำกับหน้าใหม่ที่มารับหน้าที่กำกับหนังเรื่องนี้เป็นผลงานภาพยนตร์ยาวเรื่องแรกของเขา
รีวิวหนัง กาลครั้งหนึ่ง…จนวันนี้
ในหนังเรื่องนี้ อารักษ์ อามรศุภสิริ รับบทเป็นชายหนุ่มชื่อต้น ที่กำลังจะแต่งงานกับหญิงสาวชื่อตาล (อาภา ภาวิไล) แต่เขาก็ยังไม่อาจลืมสัญญาที่ให้ไว้กับรักแรกของเขา นั่นก็คือเด็กสาวชื่อแก้ว (อธิศาพัฒน์ วงศ์เงินยวง) ที่หายตัวไปอย่างลึกลับ ในช่วงที่ต้นกับแก้วอยู่ในวัยมัธยม และต้นก็ต้องการความกระจ่างก่อนที่จะเริ่มต้นรักครั้งใหม่ได้ หนังยังมีพาวิช ทรัพย์รุ่งโรจน์ รับบทเป็นต้นในวัยรุ่นด้วยครับ
คำถามที่เราสัมภาษณ์ก็คล้ายกับที่สัมภาษณ์ผู้กำกับท่านอื่นมาแล้วครับ ให้เล่าถึงที่มาของโครงการหนัง แรงบันดาลใจในการสร้างหนังเรื่องนี้ หรือแนวคิดในการสร้างฉากบางฉากของหนัง ซึ่งน่าจะเป็นหนังเกร็ดของภาพยนตร์สำหรับผู้ที่ชมมาแล้ว และเป็นข้อมูลเตรียมพร้อมผู้ที่จะไปชมครับ
สำหรับประวัติพอสังเขปของผู้กำกับผดุง สมาจาร หรือ”ลิท” ก็คือเรียนจบนิเทศศิลป์จากพระจอมเกล้าฯ ลาดกระบัง ดูหนัง 4k และก่อนที่จะมากำกับหนังยาวเรื่องแรก็เคยมีผลงานหนังสั้นมาก่อนก็คือ My Happy Death Body ได้รางวัลชมเชย งาน Young Thai Artist Award และ My Grandma น้ำทะเลที่เซาะทราย ได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ของเทศกาลหนังอัลไซเมอร์ ในปี 2549
ช่วงเรียนปริญญาโทที่สหรัฐ ก็ยังมีผลงานหนังสั้นอีก 2 เรื่อง ก็คือ Emotion ได้ติด 1 ใน 10 ร่วมฉาย ในงาน Monterey Park Film Festival 2010 และ The Student ได้ร่วมฉายในงานฉายหนังประจำปีของ New York Film Academy

รีวิวหนัง กาลครั้งหนึ่ง จนวันนี้

อยากให้เล่าที่มาของโครงการหนัง “กาลครั้งหนึ่ง…จนวันนี้” ครับ ว่าเริ่มต้นได้อย่างไร ผมอ่านเจอว่าจากเรื่องของคุณรัตน์ โอสถานุเคราะห์ ซึ่งรับหน้าที่อำนวยการสร้างด้วย จึงสันนิษฐานว่าโครงการน่าจะเริ่มมาจากคุณรัตน์ และมาทาบทามคุณผดุงในการพัฒนาโครงการหนังเรื่องนี้ด้วยกัน ผมเข้าใจถูกไหมครับ แล้วพัฒนาบทและโครงการหนังเรื่องนี้มานานไหมครับuntil now director
เข้าใจถูกแล้วครับ จุดเริ่มต้นคือ คุณรัตน์ มีไอเดียที่อยากจะทำเป็นหนัง แล้วนำเรื่องนี้เข้าไปคุยกับค่ายหนังต่างๆ แต่ไม่ได้รับการตอบรับ จนเวลาผ่านไปเกือบปี คุณรัตน์ ได้คุยกับเพื่อน และเพื่อนคนนี้ได้รู้จักกับผม จึงดึงผมเข้าไปคุยในฐานะของคนเขียนบทก่อน คุณรัตน์เล่าเรื่องให้ฟัง แล้วผมก็นำเรื่องมาพัฒนาเป็นโครงเรื่อง เป็น Screenplay ตามลำดับ
เมื่อผมเริ่มเขียน Screenplay ก็ต้องคิดชื่อเรื่องไปด้วย ส่วนหนึ่ง โครงเรื่องมีความคล้ายคลึงกับละครเวทีที่ผมเคยทำ ที่เป็นเรื่องราวของความรัก ที่เกิดขึ้นไปแล้ว ซึ่งเป็นอดีต จึงใช้คำว่า “กาลครั้งหนึ่ง” (แล้วบวกกับในเรื่องมีความเป็น Magic เวทมนต์อยู่ด้วย คำว่า กาลครั้งหนึ่ง ที่ใช้ในการเล่านิทานจึงเป็นคำที่ได้ยินกันบ่อยๆ) แล้วในเรื่องความรักนั้น ยังส่งผลกระทบจนถึงปัจจุบัน เพราะตัวเอก ยังคงไม่ลืมรักครั้งนั้น จึงเป็นที่มาของคำว่า “จนวันนี้”
ในตอนแรกผมตั้งใจใช้ชื่อ “กาลครั้งหนึ่ง… จนวันนี้” เป็น Working Title ไปก่อน เพื่อใช้ในการเรียกโปรเจคนี้ และคิดว่าคงจะเปลี่ยนเมื่อภาพหนังมันชัดเจนขึ้น ให้เหมาะกับการตลาด และการขายหนัง
จากตัวอย่างหนัง ตัวละครเอกคือต้น ซึ่งรับบทโดยคุณเป้ อารักษ์ อมรศุภสิริ ดูหนังออนไลน์ 4k กำลังจะแต่งงาน แล้วเขายังไม่ลืมรักแรกในวัยมัธยม เกี่ยวกับเด็กสาวชื่อแก้วที่จู่ๆ ก็หายตัวไป แต่ประเด็นของหนังรักเรื่องนี้พูดถึงอะไรครับ ใช่พูดถึงว่าเราจะมีรักใหม่ได้ก็ต้องตัดใจจากรักแรกให้ได้อะไรทำนองนั้นหรือเปล่าครับ
“บางคนตามหารักแท้ แต่บางคนกลับตามหารักแรก” ประเด็นของหนังกำลังจะให้คนดูคิดว่า ถ้า “คุณต้องต้องเลือกระหว่างรักแรกที่ฝังใจมานานแสนนาน กับรักแท้ในปัจจุบันที่ดีแสนดี” คุณจะเลือกรักครั้งไหนเป็นรักครั้งสุดท้าย
โทนของหนังเหมือนจะเป็นหนังรักซึ้งๆ อบอุ่น และแซมด้วยบทตลก ทำให้นึกถึงหนังสั้น “น้ำทะเลที่เซาะทราย” ที่คุณผดุงเคยกำกับเมื่อปี 49 คิดว่าโทนหนังในลักษณะนี้เป็นแนวที่ชอบไหมครับ
ผมชอบหนังที่อบอุ่นครับ หนังที่ดูแล้วให้ความรู้สึกที่อิ่ม (เหมือนอย่างหนัง GTH แหละครับ อาจจะเรียกว่าหนังฟีลกู้ดก็ได้) พอผมชอบหนังแนวนี้ เวลากำกับมันเลยซึมลงอยู่ในงาน โดยที่ไม่รู้ตัวเหมือนกัน
นอกจากหนังแนวอบอุ่นแล้ว หนังที่ผมชอบมากๆและอยากจะทำมากๆก็คือจะเป็นหนังแนว Inspiration หรือหนังที่สร้างแรงบันดาลใจครับ อย่างญี่ปุ่นหรืออเมริกาจะมีหนังแนวนี้เยอะ แล้วมันทำให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก อย่างการวิ่งตามความฝัน หรือการพยายามเพื่อสิ่งที่ตัวเองรัก อะไรแนวๆนี้อ่ะครับ
ชื่อหนังมีคำว่า “กาลครั้งหนึ่ง” และในตัวอย่างหนังยังเหมือนพูดถึงเวทมนตร์ด้วย เรื่องราวได้แรงบันดาลใจจากเทพนิยายอะไรรึเปล่าครับ แล้วมีเรื่องราวไหน หรือหนังเรื่องไหนที่เป็นแรงบันดาลใจในการใช้กำกับหนังเรื่องนี้ไหมครับ
โครงเรื่องที่เกี่ยวกับเวทมนต์นั้น คุณรัตน์ใช้จินตนาการคิดขึ้นมาเลยครับ ไม่ได้มีอ้างอิงมาจากเรื่องไหน แต่หลังจากที่ได้คุยโครงเรื่องกันแล้ว จึงมีการหา Reference ต่างๆมาดูกัน แรงบันดาลใจที่ได้ก็มาจากหนังเกาหลีหลายเรื่องเลยครับ เช่น The Classic, My Sassy Girl, Wanee & Junah, Architecture 101 ส่วนหนังฝรั่งก็จะเป็น เรื่อง Malena, Doctor Zhivago, Letter to Juliet ส่วนหนังไทยก็จะเป็น สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก กับ แฟนฉัน ครับ
ตอนเขียนบท เราต้องหาสัญลักษณ์อะไรสักอย่างใส่เข้าไปในเรื่อง ที่เป็นสถานที่ในการสร้างความจดจำให้แก่ตัวละคร ด้วยตัวเรื่องที่เป็นต่างจังหวัด และเป็นเรื่องราวที่ย้อนไปในอดีต ต้นไม้ชิงช้าจึงเป็นภาพโรแมนติกที่ผมนึกขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ โดยส่วนตัวผมเองก็ชอบต้นไม้และธรรมชาติ
จึงเอาความชอบส่วนตัวนี้ดัดแปลงมาเป็นบท ส่วนวิวต้นไม้ในเรื่องนั้นหายากมาก หากันอยู่หลายวัน ออกไป Scout Location เฉพาะต้นไม้อย่างเดียวนี่ประมาณ 4-5 ครั้ง บางครั้งต้นไม้สวย แต่ Background ไม่สวย หรือบางที Background สวยแต่ต้นไม้ไม่สวย จนสุดท้าย เราก็ได้วิวอย่างที่เห็นในเรื่องนี่แหละครับ (ตรงนี้ผมยังไม่อยากให้ออกสื่อนะครับ ความลับของมันคือ ต้นไม้ต้นนั้นเป็นต้นไม้ที่ถูกสร้างขึ้นมาครับ วิวตรงนั้นจริงๆ ไม่มีต้นไม้)
ต้นซึ่งเป็นตัวเอกในหนัง มีทั้งวัยมัธยมและวันหนุ่ม ใช้นักแสดงคนละคนเล่น คือคุณเป้ อารักษ์ กับคุณพาวิช ทรัพย์รุ่งโรจน์ ทำให้การกำกับการแสดงยุ่งยากยังไงไหมครับ แล้วในขั้นตอนคัดเลือกนักแสดง ได้ใครมาเล่นก่อนกันครับ แล้วมีการแบ่งเรื่องราวระหว่างวัยมัธยมกับวัยหนุ่มอย่างละกี่เปอร์เซ็นต์ครับ
การแสดงที่ยุ่งยากก็คือเรื่องความต่อเนื่องของเรื่องราวและ Character ครับ ที่ต้องจับนักแสดงทั้งสองคนมา Workshop การแสดงกันก่อนหลายครั้ง ให้มีมุมมองที่คล้ายกัน ให้เห็นตัวละครแบบเดียวกัน เข้าใจเหมือนๆกันว่า “ต้น” เป็นคนยังไง
ตอนขัดเลือกนักแสดง เรามี ต้นตอนวัยรุ่นเตรียมไว้ประมาณ 3 คน และมีดาราที่ติดต่อไปแล้วประมาณ 3-4 คน เหมือนกัน คือ ทางทีมงานคุยกันแล้วว่า จะให้ดาราเป็นตัวหลัก ถ้าดาราคนไหนตอบตกลงที่จะเล่น เราก็จะเอานักแสดงวัยรุ่นที่มีอยู่แล้วมาคัดเลือกหน้าตาให้ใกล้เคียงกับดาราให้มากที่สุด ซึ่งพอเป้ตอบตกลงมา ก็นำดาราวัยรุ่นที่มี มาคัดเลือกรอบสุดท้ายอีกครั้ง แล้วได้น้องนิก พาวิช ในที่สุด
สำหรับผู้กำกับหน้าใหม่อย่างผม การได้ร่วมงานกับนักแสดงที่มีความสามารถทั้งหลาย จึงทำให้ผมได้ประสบการณ์เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ความประทับใจจึงเกิดขึ้นในเรื่องของ การเคารพบทบาทและหน้าที่ครับ นักแสดงหลายคนผ่านงานมาเยอะกว่าผมมาก แต่พวกเขาเคารพการตัดสินใจของผู้กำกับมาก และมีหลายต่อหลายครั้งที่ผมเองก็ถามถึงความคิดเห็นในการแสดง ก็ได้คำแนะนำและเคล็บลับอะไรหลายอย่าง
ในกอง ผมจะยุ่งอยู่หน้า Set และหน้า Monitor จะไม่ค่อยได้คุยเล่นกับดาราสักเท่าไร เพราะเค้าจะนั่งอยู่ในห้องแต่งหน้า หรือไปพักผ่อนในที่ที่จัดเตรียมเอาไว้ แต่ทุกครั้งที่นักแสดงมายืนหน้ากล้อง พวกเขาก็พร้อมที่จะทำตามคำสั่งของผู้กำกับ
มีครั้งหนึ่งขณะที่กำลังถ่ายทำกันอยู่ นักแสดงจะติดไมค์ไวเลส ซึ่งจะมีเพียงผู้กำกับและคนบันทึกเสียงเท่านั้นที่ได้ยิน และหลายครั้งในช่วงที่กำลังวางเฟรมเตรียมถ่าย ผมก็ไม่ได้ใส่หูฟังเอาไว้ แต่ครั้งนั้น ผมใส่หูฟังไว้ตลอดแล้วลืมถอด เป้ ได้นั่งคุยกับแสดงคนหนึ่ง ถึงเรื่องหนังว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไร คิดว่ามันจะออกมาดีมั้ย แล้วเป้ก็พูดขึ้นมาว่า “ไว้ใจพี่ลิทได้เลย อะไรที่ไม่ดี พี่ลิทเค้าไม่ปล่อยออกไปหรอก” ผมรู้สึกประทับใจกับประโยคนี้มาก แล้วรู้สึกว่า เป้ เป็นนักแสดงที่มี Spirit มากๆ แม้ผมจะเป็นผู้กำกับหน้าใหม่ แต่เป้ก็ให้ความเชื่อใจกับผมอย่างเต็มที่
คิดว่า “กาลครั้งหนึ่ง…จนวันนี้” แตกต่างจากหนังไทยที่เป็นหนังรักในตลาดตอนนี้ยังไงบ้างครับ และคิดว่าจุดเด่นของหนังเรื่องนี้อยู่ที่อะไรครับ
ความแตกต่างอันดับแรกและถือว่าเป็นจุดเด่นที่สุดของหนังด้วยก็ คือ “ประเด็นของเรื่อง” ที่นำเสอนเป็น 2 part แบ่งกันอย่างชัดเจน แล้วเอามาเปรียบเทียบให้คนดูได้คิดระหว่าง “รักแรก (ที่เป็นช่วงวัยรุ่น) กับ รักแท้ (ที่เป็นส่วนของเป้)”
อันดับสอง เป็นหนังรักที่มีการผสมเรื่องราวหลายๆแบบเข้าไว้ด้วยกัน โดยมีทั้งรัก ทั้งตลก ทั้งดราม่า และยังมีความเป็น Magic อยู่ในเรื่องอีกด้วย ซึ่งอาจจะเรียกว่ามีกลิ่งของ Fantasy อยู่นิดๆก็ได้