รีวิวหนัง ผีห่าอโยธยา
ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าที่เราจะได้ไปดูหนังซอมบี้ไทย “ผีห่าอโยธยา (The Black Death)” รีวิวหนัง ผีห่าอโยธยา รอบสื่อพิเศษ เราเพิ่งได้ assign ให้นักเรียนในคลาส Writing Essay I เขียน essay หัวข้อเกี่ยวกับว่า ทำไมหนังไทยไม่เคยได้รับรางวัล (หรือแม้แต่ถูกเสนอชื่อเข้าชิง) OSCARS สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม
รีวิวหนังไทย คือจริงๆ แล้วหนังไทยพยายามโกอินเตอร์ไปเวทีตุ๊กตาทองตั้งแต่ 1984 จนกระทั่งถึงปัจจุบัน เราก็ submit ไปแล้ว 21 เรื่อง (ล่าสุดก็เรื่อง คิดถึงวิทยา ของ GTH) แต่ทุกเรื่องก็แห้วไปไม่ถึงแม้แต่จะเป็น nominee
เราก็สอนให้เด็กมองในหลายๆ แง่มุมเพื่อหาคำตอบที่ดีที่สุดมาเขียนตอบ essay นั้นให้ได้ 500 words พร้อมกับทิ้งท้ายความคิดเห็นของตัวเองไปว่า ถ้าหนังไทยเรายังคงทำหนังตามสูตรเดิมๆ หรือเอาใจแต่ตลาดเดิมๆ เราก็คงไม่มีวันที่จะไปถึงเวทีระดับโลกกับเขาได้ง่ายๆ

แต่พอเราได้มาดู “ผีห่าอโยธยา” ผลงานกำกับฯ ของคุณชายอดัม หรือ ม.ร.ว. เฉลิมชาตรี ยุคล (โอรสของ ม.จ. ชาตรีเฉลิม ยุคล) แล้ว เรารู้สึกว่า ถึงแม้จะไม่ได้สมบูรณ์แบบและบทก็ไม่ได้แปลกใหม่หวือหวาอะไรมาก แต่ด้านโปรดักชั่นและการนำเสนอแล้ว “ผีห่าอโยธยา” ถือเป็นสัญญาณที่ดีของการเริ่มต้นหรือความเป็นไปได้ในการพัฒนาสู่มิติใหม่ของวงการอุตสาหกรรมหนังไทยเลยทีเดียว
ความแตกต่างประการหนึ่งที่น่าสนใจคือหนังซอมบี้ที่เราเคยดูส่วนใหญ่ (หรือทั้งหมดเลยก็ว่าได้) เป็นหนังซอมบี้โลกดิสโทเปียแบบในอนาคต เช่น Resident Evil ที่ผีดิบเกิดจากการพัฒนาไวรัสหรือสารอะไรสักอย่างของบริษัทร่มยักษ์ใหญ่ แต่ “ผีห่าอโยธยา”
เป็นหนังซอมบี้เรื่องแรกที่นำเสนอ “Walkers” ในโลกอดีต (เท่าที่เราเคยดูมา) อาวุธที่คนเป็นใช้ต่อสู้หรือฆ่าพวกมัน จึงเป็นอาวุธแบบไทยเดิม เช่น ดาบ ปืนใหญ่ หรือแม้แต่ถ้วยชามกะลังมังไหตุ่มเท่าที่จะคว้าได้ รวมไปถึงการหวังพึ่งทางใจกับพระกับเจ้าตามวิถีชาวพุทธศาสนา

ความพิเศษคือ “ผีห่าอโยธยา” เอาผีดิบไปโยงกับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ช่วงที่ “กาฬโลก (Plague)” หรือ โรคห่าระบาดสมัยอยุธยา โดยเคารพหนังซอมบี้ต้นฉบับ และสร้างสรรค์ตัวละครที่มีคาแรกเตอร์หลากหลายชัดเจนเหมือนออกมาจากการ์ตูน เช่น สาวถือค้อนสุดเอ็กซ์ หรือตัวร้ายที่เป็นตัวโจ๊กปัญญาอ่อนของเรื่อง ซึ่งแต่ละคนก็ดูมี mission หรือ decision ของตัวเองให้คนดูลุ้นตลอดเรื่องเช่นเดียวกับหนังซอมบี้รุ่นพี่
ถึงจะมีอริจินัลมาจากตะวันตก แต่ “ผีห่าอโยธยา” ก็มีการผสมผสานกับบรรยากาศแบบไทยๆ สมัยยุคอโยธยาอย่างลงตัว อย่างความน้ำเน่าของรักต้องห้ามของดอกฟ้ากับหมาวัดตามสูตรหนังไทยดั้งเดิม หรือพระเณรพันสายสิญจน์กันผีรอบโบสถ์แบบหนังเรื่องนางนาก จนไปถึงการสะท้อนสังคมไทยเกี่ยวกับประเด็นการค้าประเวณีหรือความไม่เท่าเทียมของมนุษย์ที่มาแต่สมัยโบราณนานนม
ซอมบี้เวอร์ชั่นคุณชายอดัมจะเป็นแนวผีดิบวิ่งไวกระหายเนื้อ ความเร็วระดับปานกลาง ไม่บ้าคลั่งเท่าใน World War Z แต่ก็ไม่อืดเฉื่อยแบบใน The Walking Dead) แต่โดยส่วนตัวเราอยากให้มีผู้นำกลุ่มซอมบี้หรือมีซอมบี้สักตัวสองตัวที่เป็นตัวเด่นอย่างในเรื่อง Land of the Dead เพราะน่าจะช่วยเพิ่มมิติให้ฝั่งผีมากขึ้น

สิ่งที่เราชื่นชมและชอบที่สุดใน “ผีห่าอโยธยา” คือความอินเตอร์และสมจริงของมัน ผีดิบแต่ละตัวนี่เนียนมากยังกับหนังซอมบี้ฮอลลีวูดมาเอง ทั้งเลือดทั้งหนองและลูกกะตานี่จัดเต็มมาก งานโปรดักชั่นส่วนอื่นๆ ก็ดูงานดีงานละเอียด (ขอไม่พูดถึงความถูกต้องตามประวัติศาสตร์ เพราะเราไม่มีความรู้) งานภาพถ่ายมาสวยมากกกกกก องค์ประกอบทุกอย่างดูลงตัว คืออาจจะเพราะคุณชายจบด้านฟิล์มมาจากเมืองนอกด้วยมั้ง การเล่นมุมกล้อง การถ่ายภาพ และการนำเสนอทุกอย่างมันดูอินเตอร์เหมือนกำลังดูหนังซอมบี้ฝรั่งจริงๆ ยังไงยังงั้น ถ้ามีตัวละครผิวสีอยู่ในเรื่องด้วยนี่ครบสูตรเลย
สิ่งที่ยังไม่สุดก็อาจจะมีบ้างเพราะหนังสั้นไปหน่อยแล้วดำเนินเรื่องไว คือไอ้กระชับมันก็กระชับ แต่แค่รู้สึกว่าบางฉากเรายังอินได้ไม่สุดก็ถูกตัดฉากละ แต่ก็ชื่นชมที่สามารถนำเสนอคาแรกเตอร์ตัวละครและโชว์พัฒนาการความสัมพันธ์ของตัวละครให้เห็นได้ดีในเวลาอันน้อยนิด
ดูหนังออนไลน์ 4k ซึ่งเราเชื่อว่าถ้าผู้ชมมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับตัวละครมากกว่านี้อีกนิด คนดูจะมีอารมณ์ร่วมและรู้สึกผูกพันอยากให้กำลังใจตัวละครแต่ละตัวในแต่ละซีนต่อไปมากขึ้น (แต่เราอยู่ #ทีมอีพลอย นะรู้ยัง อิอิ)
นางเอก 2 ใน 3 คนของ “ผีห่าอโยธยา” ถือว่าค่อนข้าง “หน้าใหม่” สำหรับวงการแผ่นฟิล์ม การแสดงจึงยังไม่โดดเด่นดึงดูดตาเราเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะ แคท-ซอนญ่า ที่เรายังเข้าไม่ถึงอารมณ์ที่นางกำลังจะถ่ายทอดเท่าไหร่นัก ส่วน โซดา-วีรี นี่ถึงจะไม่ได้พีคอะไรมาก แต่เราเชื่อว่าคนจะจำนางได้เยอะแน่นอนเพราะนางเซ็กซี่และเท่มาก ยังกับ Alice ใน Resident Evil

คนที่เล่นดีที่สุดในเรื่อง แทบทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า แม็กกี้-อาภา ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นของผู้กำกับฯ อรุณ ภาวิไล คือทั้งเรื่องนี่มีแม็กกี้นี่แหละที่ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุดละ ดูแล้วเชื่อว่าเป็นตัวละครตัวนั้น ณ อารมณ์นั้น ณ สถานที่หรือเหตุการณ์นั้นๆ
เห็นนางมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กกระโปรงบานคอซอง (ตอนนั้นผมซอยสั้นดูกะโปโลมาก lol) วันนี้นางเป็นนางเอกดาวรุ่ง แถมยังเล่นหนังเล่นละครเก่งมาก เราหวังว่าบท “อีพลอย” จะส่งให้การแสดงของแม็กกี้ได้เข้าตากรรมการหลายต่อหลายคน และส่งให้นางไปได้ไกลยิ่งๆ ในวงการบันเทิงนี้ต่อไป
ใน “ผีห่าอโยธยา” นี้ แม็กกี้-อาภา รับบทคณิกาสาวใบ้ ทั้งเรื่องไม่ได้พูดเลยสักคำ แต่นางแสดงทางสีหน้า แววหน้า และอวัจนภาษาได้ดีมากกกกกก (ก.ไก่ ล้านตัว) ถ้า แต๊บ AF ส่งบทให้นางได้ดีกว่านี้ เราว่าซีนนั้นๆ น่าจะพีคกว่านี้อีกเยอะเลย แต่ก็เข้าใจนะว่าต้องค่อยเป็นค่อยไป เพราะ แต๊บ AF ก็ถือว่ายังเป็นน้องใหม่สำหรับการแสดงอยู่
รีวิวหนัง ผีห่าอโยธยา
ส่วน “เต้ย-พงศกร” ที่ถือเป็นจุดขายของเรื่อง ความหล่อล่ำคมเข้มสไตล์ไทยๆ นี่คงไม่ต้องพูดถึง แต่เราดูแล้วเรายังรู้สึกว่า “ไอ้คง-ผีห่าฯ” ยังเป็นคนเดียวกับ “พี่ทัพ-บางระจัน” อยู่ แต่แค่ไม่ได้ skillful เท่าพี่ทัพ แล้วพอไม่ได้เก่งกาจฉายเดี่ยวหรือมีม้าคู่กายเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวแบบบทไอ้ทัพ เราเลยรู้สึกว่าเต้ยในเรื่องนี้ไม่ค่อยมีอะไรให้จดจำได้เท่าไหร่นัก (อย่างโซดาเรายังจำได้ตรงค้อนและนม นึกออกปะ)
เรื่องรูปร่างหน้าตา เต้ยผ่านละ เริ่มเป็นพระเอกพระรองของหนังหลายเรื่องได้แล้วโดยเฉพาะหนังโคตรไทยแนวนี้ แต่ในการเป็นพระเอกเต็มตัว เต้ยคงต้องทำการบ้านมากขึ้นกว่านี้อีกหน่อยเพื่อที่จะประคองหนังใหญ่ได้ตลอดทั้งเรื่องในเรื่องต่อๆ ไป

โดยสรุป เอาตรงๆ ฟีดแบ็ครอบสื่อของ “ผีห่าอโยธยา” ออกมาเป็นสองขั้ว คือชอบไปเลย กับไม่ชอบไปเลย เราจึงตอบโช้ะๆ แทนทุกคนไม่ได้ว่าคุณจะชอบหรือจะเหมาะกับหนังเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน แต่คนที่ชอบแน่ๆ น่าจะเป็นคอหนังซอมบี้ คือถ้าดูหนังแนวนี้มาเยอะมากพอ จะเก๊ตมุกในเรื่อง หรือไม่ก็คนที่ชอบความดิบๆ เลือดกระฉูด ยิงฟันกันตึงตัง รวมถึงแฟนๆ ของนักแสดงนำในเรื่อง
อย่างไรก็ตาม “ผีห่าอโยธยา” ก็เป็นหนังไทยเรื่องหนึ่งที่ดูดีที่สุดเรื่องหนึ่งในบรรดาหนังไทยหลายๆ เรื่องช่วงนี้ ด้วยโปรดักชั่นระดับอินเตอร์ มีความคัลท์แบบอินเตอร์ อีกทั้งมีรสชาติที่ครบรสทั้งแอ็คชั่น-โรแมนติก-ดราม่า-คอเมดี้ และที่สำคัญ เนื้อหนังที่คนต่างชาติก็ “ทัช” ได้ และมีการสอดแทรกความเป็นไทยลงไปในหนังแบบไม่ต้องพยายามยัดเยียด เราว่าหนังเรื่องนี้โกอินเตอร์ได้เลย
ดูหนังออนไลน์ “ผีห่าอโยธยา” นับเป็นหนังเรื่องที่สองของคุณชายอดัมต่อจาก “สารวัตรหมาบ้า” ที่ออกฉายไปเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน สำหรับภาพยนตร์เรื่องผีห่าอโยธามีกระแสดรามาเริ่มต้นเล็กๆ ตั้งแต่หนังยังไม่ฉาย
เนื่องจากมีประเด็นเกี่ยวกับเค้าโครงเรื่องไปใกล้เคียงกับโปรเจคหนังสั้นของนักศึกษาสถาบันหนึ่ง เรียกได้ว่าหนังเรื่องนี้ดังตั้งแต่ยังไม่คลอด เลยยิ่งส่งผลทำให้ผมอยากชมภาพยนตร์เรื่องนี้มากขึ้น หลังจากรอติดตามมาตั้งแต่ต้นปีที่แว่วว่าจะเข้าโรง แต่ก็เลื่อนมาจนได้ฤกษ์ฉายเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา
หนังซอมบี้ฝีมือคุณชายเปิดเรื่องด้วยเสียงต่อสู้โดยการใช้ดาบ (ในใจแอบมีคำถามขึ้นมาทันทีว่าตกลงตำนานสมเด็จพระนเรศวร ตอนอวสานหงสา ของท่านพ่อคุณชาย อวสานจริงๆ หรือเปล่า) ซึ่งจริงแล้ว “ผีห่าอโยธยา” เป็นการถ่ายทอดภาพตอนหนึ่งในระหว่างมหาสงครามอโยธยากับหงสา ที่บอกเล่ากันว่ามี “โรคห่า” ระบาดแต่กลับกลายเป็นหายนะเมื่อศพที่เสียชีวิตจากโรคห่าฟื้นชีวิตขึ้นใหม่อีกครั้งในคราบผีดิบ ลุกขึ้นมากัด ฉีกกินเลือดเนื้อทุกคน เพื่อให้กลายเป็นพวกเดียวกับมัน
เรื่องราวหลักๆ เกิดขึ้นในหมู่บ้านที่หลังจากมีการพบศพคืนชีพเป็นผีดิบ เหล่าซอมบี้เพิ่มจำนวนและเริ่มออกอาละวาดไล่กัดกิน ขยายพันธุ์ผีดิบเป็นวงกว้าง ดูหนัง 4k ชาวบ้าน หญิง ชาย ลูกเล็ก เด็กแดงก็ไม่ได้รับการยกเว้น แต่กลุ่มคนที่ดำเนินเรื่องหลักๆ และอยู่ช่วยฟันหัวซอมบี้
(วิธีเดียวที่จะกำจัดซอมบี้ให้สิ้นซาก) จนเกือบท้ายเรื่องมีทั้งทหารขี้เมา เด็กวัดเจ้าสำราญ เจ้าของซ่องพร้อมสมุน นางซ่องเป็นใบ้ หญิงตีดาบ และคู่รักต่างชนชั้น แม้จะต่างความคิด ต่างบทบาท แต่ทั้งหมดนี้กลับมีเป้าหมายเดียวกันคือต้องเอาชีวิตรอดจากซอมบี้
ตัวหนังไม่ได้มีอะไรซับซ้อน และไม่ได้ผูกเรื่องให้เราต้องครุ่นคิดอะไรมากมาย จะมีแทรกความคิดเสียดสีสังคมเล็กน้อยในเรื่องความสามัคคี ความเห็นแก่ตัวที่อาจจะทำให้ทุกๆ คนสามารถกลายเป็นผีห่าในเชิงเปรียบเทียบ หนังเลือกที่จะสื่อสารกับคนดูแบบตรงไปตรงมา ไม่มีอะไรซ่อนเร้น เพราะมันก็แค่การช่วยกันกำจัดผีห่าท่วมเมืองเหล่านี้ให้หมดสิ้น และทุกคนต้องพยายามกระเสือกกระสนเอาตัวรอดไปจากหมู่บ้านผีดิบแห่งนี้ให้ได้เท่านั้น
แต่สิ่งที่ผมประทับใจทันทีตั้งแต่หนังเปิดเรื่องคือโทนสีของหนัง ซึ่งเข้าใจว่าหนังย้อนยุคมักฉาบทาด้วยสีที่ให้อารมณ์ลักษณะนี้ เพียงแต่ครั้งนี้ผมรู้สึกว่ามันละมุนกว่าทุกๆ ครั้งที่เคยดูหนังเรื่องอื่นในสไตล์เดียวกัน แน่นอนครับว่าถ้าคุณชายเลือกใช้หนังสีปกติ
คนดูอาจรู้สึกกระอักกระอ่วนในการชมภาพยนตร์มากกว่านี้ เนื่องจากต้องยอมรับเลยครับว่า ฉากฆ่าฟันคอ ทุบหัวซอมบี้เลือดกระฉูดมีให้เห็นตลอดทั้งเรื่อง ผมเลยรู้สึกว่าหนังสีนี้ทำให้ผมสามารถยืดระยะชมภาพยนตร์ไปได้จนจบเรื่อง แต่ใครที่ไม่พิสมัยหนังแบบเห็นเลือด เห็นเนื้อ เห็นเส้นเลือด เห็นกระดูกกันจะจะ ผมแนะนำว่าอย่าเสี่ยง
นอกจากฉากแอคชั่นฟันคอผีห่าแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สร้างสีสันชวนสยิวให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้คือสาวในชุดเกาะอกไทยโบราณ โดยเฉพาะฉากเสพสังวาสริมธารน้ำตก และรูปร่างชวนจินตนาการของสาวตีดาบ ผมว่านี่เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้เลยก็ว่าได้ เพราะหนังถ่ายถอดภาพหวิดเปลือยได้น่าชมผสมสยิว และชวนให้นึกถึงฉากเร่าร้อนของหนังไทยยุคเก่าที่ขาดหายไปนาน ผมเชื่อว่าถ้าใครไปดูโดยเฉพาะหนุ่มๆ ต้องไม่ละสายตาไปจากฉากเหล่านี้อย่างแน่นอน
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าดีเยี่ยมเลยคือเทคนิคทางด้านการแต่งหน้าทั้งหน้าผีและหน้าคน โดยเฉพาะความเละเทะบนหนังหน้าซอมบี้ แผลผุพอง น้ำเลือด น้ำหนอง โอ้ย… เละได้ใจครับ ดังนั้นโดยรวมผมว่าหนังซอมบี้เรื่องนี้ถ้าเราจะดูว่ามันเป็นหนังแอคชั่นสยดสยอง มันก็ใช่เลย เพียงแต่รสชาติหนังมันอาจยังไม่กลมกล่อมทั้งเรื่อง
เนื่องจากยังพบจุดบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ถ้าปรับแก้ได้ จะทำให้รสชาติหนังดีขึ้น โดยเฉพาะการแสดงของนักแสดงหลายๆ คนที่ยังดึงอารมณ์คนดูได้ไม่ดีนัก ดูหนัง จะมีที่เข้าท่าหน่อยก็คงเป็นสาวใบ้ขายตัวที่ใช้แววตา ท่าทางสื่ออารมณ์ได้ดี ส่วนคนอื่นๆ ก็ยังแข็งเป็นซอมบี้กันอยู่
หรือบางฉากในหนังโดดชนิดที่ผมอึ้งและเกิดคำถาม อย่างฉากสาวใบ้ขายตัววิ่งหนีออกจากซ่องที่ตั้งอยู่ในเขตเมือง จู่ๆ วิ่งมาในป่าซะแล้ว ผมนี่งงไปแป๊บนึง ก่อนจะเรียกสติกลับมาติดตามเรื่องต่อ หรือแม้แต่เรื่องของเสียงตัวแสดงแบบที่ไม่เห็นหน้า น้ำเสียงยังโดดฟังออกว่าเป็นเสียงพากษ์ที่งานอาจยังไม่ค่อยประณีตสักเท่าไร
หลังจากชมภาพยนตร์เสร็จผมพยายามคิดว่าหรือเพราะหนังเรื่องนี้เครื่องปรุงเยอะ เพราะมันรู้สึกเหมือนกับว่าผู้กำกับพยายามหยิบวัตถุดิบ และเทคนิคหลายๆ อย่างผสมผสานกัน โดยต้องการให้ทั้งหมดกลมกล่อมในจานๆ เดียว ซึ่งสำหรับผมที่ชอบดูหนังไทย (ถ้ามันน่าดูจริงๆ) ผมว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ผู้กำกับคิดทำหนังสไตล์อื่นๆ มาเสิร์ฟให้คนดูลองชิม ลองชมอะไรที่หลากหลาย เพราะบางทีผมก็เบื่อหนังตลาด หนังตลก หนังมุกฝืดๆ ที่ทำเงินมหาศาลในบ้านเราเหมือนกัน