รีวิวหนัง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อวสานหงสา

ไม่ว่าใครก็ตามที่รอชมภาคจบของภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช หรือในชื่อตอนว่า อวสานหงสา โดยพกพาเอาเหตุผลหลายๆ ข้อเข้าไปในโรงหนัง รีวิวหนัง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อวสานหงสา บางคนเป็นแฟนตัวจริงที่ติดตามความต่อเนื่องและรอลุ้นว่าภาพยนตร์มหากาพย์เรื่องนี้จะจบลงอย่างไร

บางคนอาจเป็นแฟนคลับของผู้กำกับหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล (ท่านมุ้ย) ที่ให้สัญญากับตัวเองว่าจะดูหนังที่ท่านกำกับทุกเรื่อง และกลับบางคนเพียงเข้าไปรอลุ้นว่าแอ๊ฟ ทักษอร หรือในบทมณีจันทร์ตั้งครรภ์จะสวยสมคำร่ำลือหรือเปล่า เพราะเธอยอมทุ่มเทถ่ายภาพยนตร์ในขณะตั้งครรภ์แบบใกล้คลอดเต็มที
ไม่ว่าใครจะมีเหตุผลอะไรก็ตาม สิ่งที่ตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ ภาคสุดท้ายนี้ส่งต่อให้กับผู้ชมได้อย่างชัดเจนคือการแฝงสัจธรรมแห่งชีวิตในหลายๆ เรื่องทั้ง “ทุกชีวิตย่อมดำเนินไปตามกรรม” รวมถึงการให้อภัยและไม่จองเวรต่อกันย่อมนำพาชีวิตไปสู่ความสงบสุข ซึ่งนับว่าเป็นบทสรุปที่ค่อยๆ สะสมเรื่องราวมาตั้งแต่ตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ ในภาคแรกๆ
หากแต่ใครที่จดจำความประทับใจจากภาพยนตร์เรื่องนี้ในภาคต้นๆ และเห็นพ้องต้องกันว่าภาคหลังๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้กลับไม่ทำให้รู้สึกประทับใจสักเท่าไรนัก โดยเฉพาะเทคนิคทางด้าน CG ที่เห็นได้ชัดเจนว่ายังมีความบกพร่อง และเห็นข้อผิดพลาดอย่างชัดเจน ซึ่งส่งผลให้ผู้ชมมีอารมณ์คล้อยตามได้น้อยลง ซึ่งในภาคนี้เราก็ยังพบความบกพร่องในข้อนี้อยู่
อีกข้อหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นธรรมชาติของหนังเรื่องนี้เลยก็ว่าได้คือการเพิ่มเติมนักแสดงหน้าใหม่ๆ เข้ามามีบทบาทคนละเล็กคนละน้อย ซึ่งที่ผ่านมาก็มีทั้งนักแสดงมากฝีมือ รุ่นเก๋าที่มาช่วยเสริมให้หนังน่าดูและสนุกมากยิ่งขึ้น สำหรับในภาคนี้มีนักแสดงหน้าใหม่อย่างน้องปันปันเต็มฟ้า
กฤษณายุธ ลูกสาวคนสวยของร็อคเกอร์สาวแหวน ธิติมา สุตสุนทร เธอเข้ามารับบทเป็นเม้ยมะนิก สำหรับในด้านการแสดงของเธออาจต้องรอเวลาฝึกฝนอีกสักพักถึงจะเข้าที่ แต่ด้วยลีลาตวัดชายผ้าในเรื่องก็พอจะทำให้เราเชื่อได้ว่าเธอเก่งยิมนาสติกจริงๆ
รีวิวหนังไทย จากชื่อตอนอวสานหงสาทำให้ผู้ชมส่วนหนึ่งแอบหวังว่าจะได้เห็นฉากการทำสงครามที่ทำให้คนดูหัวใจฮึกเหิม แต่กลับต้องผิดหวังเพราะมีฉากสงครามในเรื่องเพียงสั้นๆ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะภาพยนตร์นั้นมีความยาวเพียง 100 นาที
จึงต้องจัดสมดุลให้ลงตัวระหว่างฉากสร้างแรงฮึกเหิมกับฉากสั่งเสียก่อนสมเด็จพระนเรศวรสวรรคต ซึ่งในฉากสั่งเสียนี้เองที่ยื้ออารมณ์คนดูเป็นอย่างมาก เพราะแทนที่จะเศร้าและซึ้งไปกับบทบาทในฐานะกษัตริย์นักรบของสมเด็จพระนเรศวร แต่เมื่อเป็นฉากอารมณ์ที่กินเวลานาน จึงทำให้อารมณ์คนดูกลายเป็นรู้สึกเบื่อกับฉากดังกล่าว (ซึ่งท่านมุ้ยได้โพสแจ้งว่าในรอบฉายจริง ภาพยนตร์จะมีความยาวมากกว่าที่ฉายในรอบสื่อมวลชน)
รีวิวหนัง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อวสานหงสา
แต่จะด้วยความบกพร่องใดๆ ก็ตามของภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่ตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ ก็ยังคงเป็นภาพยนตร์ไทยที่ยิ่งใหญ่และอยากให้คนไทยทุกคนหาโอกาสไปชม เพราะทุกครั้งที่เข้าชมไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ยังรู้สึกว่าเรายังรู้จักและลึกซึ้งกับประวัติศาสตร์ของบ้านเมืองเราไม่ดีพอ เพราะหากเราต้องการจะเดินไปข้างหน้า เราก็ควรจะรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ของชาติไทยให้ลึกซึ้ง เพื่อที่เราจะได้รู้รากเหง้าของตนเองอย่างแท้จริง
มีภาพยนตร์ไทยอยู่เรื่องหนึ่งครับ ที่คนไทยติดตามมานานเป็นสิบปี เรื่องราวที่อิงมาจากประวัติศาสตร์ชาติเรา และถูกสร้างขึ้นมาเป็นหลายภาคต่อๆ กัน สร้างตั้งแต่นักแสดงเด็กบางคนโตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้ว นักแสดงบางแต่งงานมีลูกเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็มี แต่นั่นแหละ วันนี้ทีมงานและนักแสดงต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “นี่เป็นภาคจบจริงๆ”
ดูหนังออนไลน์ คงไม่ต้องสาธยายเพิ่มเติมแล้วแหละว่าผมหมายถึงหนังเรื่องไหน ก็เรื่อง ‘ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อวสานหงสา’ นั่นยังไงเล่าครับ ตำนานที่มาตำมานานตั้งแต่เมื่อปี 2550 ภาคองค์ประกันหงสา จนบัดเดี๋ยวนี้ 2558 ก็ถึงเวลาอวสานหงสากันเสียที
หลังเหตุการณ์ทำยุทธหัตถีผ่านพ้นไป หลังจากพระมหาอุปราชาทรงสวรรคต ไพร่พลของหงสาวดีถูกประหารชีวิตเจ็ดชั่วโคตรเพราะพระเจ้านันทบุเรงผู้เป็นพระบิดา นั่นยังไม่เท่าเหตุที่พระสุพรรณกัลยา องค์ประกันองค์สุดท้ายก็สิ้นชีพไปด้วยน้ำมือของพระองค์ ส่งให้พระนเรศโกรธแค้นยกทัพไปเหยียบหงสาจนราบเป็นหน้ากลอง (ขออภัยที่ไม่อาจใช้คำราชาศัพท์ให้ถูกต้องได้)
แน่นอนว่า เหตุการณ์ในภาคก่อนหน้า ยุทธหัตถี นั้นอาจจะไม่สามารถตอบคำถามในใจคนดูอยู่หลายๆ ข้อ เหมือนเป็นการจบที่ค้างคาจนคนดูรู้สึกว่ายังไม่ใช่การจบที่แท้จริง ท่านมุ้ยจึงนำเรื่องราวที่เหลือมาถ่ายทอดต่อเป็นบทสุดท้ายที่จะตอบทุกอย่าง ทั้งยังเป็นช่วงเวลาสุดท้ายก่อนสิ้นใจขององค์ดำอีกด้วย
ตำนานขององค์มหาราชของคนไทยที่รวบรวมอาณาจักรให้เป็นปึกแผ่น จนเรามีชาติไทยเฉกเช่นทุกวันนี้ หนังนำเสนอพร้อมความยิ่งใหญ่ในหลายด้าน เช่น ดนตรีประกอบ ที่ทำได้ยิ่งใหญ่อลังการดี แม้ว่าในด้านงานภาพ จะยังมีปัญหาอยู่ในหลายๆ จุด ไม่ว่าจะเป็นงานสี ที่มักพบว่าจะสี ความสด และความคมชัดของภาพนั้นยังไม่สม่ำเสมอตลอดเรื่อง นอกจากนี้ ภาคนี้ยังใช้ซีจีเข้ามาสร้างภาพให้ดูยิ่งใหญ่ซึ่งนอกจากจะดูประดักประเดิดแล้ว ยังดูไม่แนบเนียนอย่างเห็นได้ชัดจนรู้สึกว่ากลับไปถ่ายทำด้วยคนจริงแบบในภาคแรกๆ น่าจะดีกว่า
ครึ่งแรกนั้นพอจะสร้างความตื่นเต้นได้พอประมาณ น่าเสียดายที่ครึ่งหลังนั้น บทพูดที่มากเกิดพอดีกลบอารมณ์ร่วมของคนดูไปเสียสิ้น แม้ว่าบทจะมีความน่าสนใจในเรื่องของการสอดแทรกปรัชญาของชีวิต เพิ่มตัวละครใหม่ๆ เข้ามาสร้างสีสัน
รีวิวหนัง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อวสานหงสา
มาพบกันเป็นประจำในทุก ๆ เช้ากับการแนะนำหนังน่าดูประจำวันที่ TrueID และ TrueID+ หลากหลายอรรถรสความบันเทิงไร้ขีดจำกัดกับช่วง “Movie of the Day” ในวันนี้ Movie.TrueID ขอเสนอ ภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 6 อวสานหงสา
ภาคจบของภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ เรื่องราวที่ถูกจารึกของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ถูกตีแผ่ออกมาเป็นหนังฟอร์มใหญ่ ฉบับสมบูรณ์ถึง 6 ภาค ดำเนินเรื่องมาตั้งแต่ขณะทรงพระเยาว์ ผ่านศึกสงครามมาหลายเหตุการณ์ ผ่านมุมมองการถ่ายทอดเรื่องราวของ “หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล” ร่วมด้วยนักแสดงชั้นนำ ภาคสุดท้ายที่เล่าเรื่องราวของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทั้งการรบ และสวรรคตในภาคนี้
เล่าถึง พ.ศ. 2135  หลังพ่าย “ศึกยุทธหัตถี” ฝ่ายหงสาวดี “พระเจ้านันทบุเรง” (จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์) ทรงโทมนัสที่ต้องสูญเสียพระราชโอรส จึงมีรับสั่งให้คลอกไฟเหล่าแม่ทัพนายกอง ที่ตามเสด็จ “พระมหาอุปราช” (นภัสกร มิตรเอม) ให้ตายตกตามกัน  ทั้งยังระบายพระโทสะไปที่ “พระสุพรรณกัลยา” (เกรซ มหาดำรงค์กุล) องค์ประกันและ พระราชโอรสธิดาถึงสิ้นพระชนม์ชีพ
ดูหนัง ข้าง “สมเด็จพระนเรศวร” (พันโท วันชนะ สวัสดี) นั้น มีพระราชประสงค์จะนำทัพปราบหงสาวดีให้ราบคาบมิให้ตกค้างเป็นเสี้ยนหนาม ครั้นมาได้ทราบข่าวการสิ้นพระชนม์ของพระพี่นางและพระราชนัดดาก็ยิ่งโทมนัส จึงตัดสินพระทัยยกทัพใหญ่
หมายเหยียบหงสาวดีให้ราบเป็นหน้ากลอง ในระหว่างที่เดินทางมาถึงเมืองเมาะตะมะได้จับตัว “พระยาลอ” ผู้สำเร็จราชการแทน ที่ “พระเจ้านันทบุเรง” ส่งให้มาปกครองเมือง ถูก “เม้ยมะนิก” (เต็มฟ้า กฤษณายุธ) ราชธิดาของ “ศิริสุธรรมราชา” เจ้าเมืองเมาะตะมะลอบสังหารเพื่อแก้แค้นแทนบิดา พร้อมรวบรวมชาวรามัญเพื่ออาสาขอเข้าร่วมรบพม่ากับชาวอโยธยา
รีวิวหนัง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อวสานหงสา
แต่ครั้นเมื่อทัพของพระองค์เสด็จถึงหงสาวดีก็พบแต่เพียงเศษซากของมหานครอันเคยยิ่งใหญ่ ด้วย “นัดจินหน่อง” (นาวาอากาศโทจงเจต วัชรานันท์) ราชบุตรพระเจ้าตองอูได้วางอุบายเชิญพระเจ้านันทบุเรงพร้อมกวาดต้อนผู้คนแลทรัพย์ศฤงคารของหงสาไปไว้ยังตองอูจนหมดสิ้น ครั้งนั้นสมเด็จพระนเรศวรจึงทรงยกทัพตามขึ้นไปถึงเมืองตองอู มีพระราชบัญชาให้ “เมงเยสีหตู” (นิรุตติ์ ศิริจรรยา)
ดูหนังออนไลน์ 4k  เจ้าเมืองส่งตัวพระเจ้านันทบุเรงออกมาถวาย ด้านนัดจินหน่องเห็นว่าพระเจ้านันทบุเรงที่เชิญมานั้นเป็น ภัยชักศึกเข้าบ้านจึงหมายยืมมือสมเด็จพระนเรศวรสังหารพระเจ้านันทบุเรงเสีย แต่เมื่อสมเด็จพระนเรศวรได้ทอดพระเนตรเห็นพระเจ้านันทบุเรงที่ทรงทุพพลภาพเป็นที่น่าสมเพชก็ให้สลดพระราชหฤทัย
ระหว่างนั้น “เมงราชาญี” (รณ ฤทธิชัย) เจ้าเมืองยะไข่ได้แต่งทัพเป็นกองโจรตีลัดตัดเสบียงอยุธยามิให้ส่งข้าวน้ำขึ้นไปเลี้ยงทัพที่ล้อมพระนครตองอูอยู่ “สมเด็จพระเอกาทศรถ” (พันเอก วินธัย สุวารี) จึงแบ่งทัพลงมาหมายจะเผด็จศึกยะไข่มิให้เป็นหอกข้างเเคร่ แต่ทรงพลาดท่าถูกเมงราชาญีจับตัวได้ พระราชมนูจำต้องขันอาสานำกำลังลงมาแก้เอาสมเด็จพระเอกาทศรถกลับคืน และยกทัพกลับยังอยุธยา
ข้างฝ่ายพุกามประเทศนั้นได้บังเกิดกษัตริย์ชาตินักรบขึ้นมาแทนพระเจ้าชนะสิบทิศมีพระนามว่า “พระเจ้ายองยาน” ตามชื่อพระนครที่ปกครอง พระเจ้ายองยานทรงขยายแสนยานุภาพครอบคลุมดินแดนพม่าตอนบน เข้ายึดครองหัวเมืองในรัฐไทยใหญ่ทั้งหลาย
และทรงกรีฑาทัพเข้าตีเมืองยองห้วยและเมืองแสนหวี ซึ่งขณะนั้นล้วนเป็นเมืองประเทศราชของอยุธยา เมื่อสมเด็จพระนเรศวรทรงล่วงรู้ก็ทรงมีพระราชดำริที่จะตัดไฟเสียแต่ต้นลมไม่ให้อธิราชศัตรูพลิกฟื้นขึ้นมาเป็นเสี้ยนหนาม แผ่นดินอยุธยาได้อีก สมเด็จพระนเรศวรจึงได้เสด็จยกกองทัพไปตีอังวะ ครั้งนั้น “พระมหาเถรคันฉ่อง” (สรพงษ์  ชาตรี) และ “พระอัครมเหสีมณีจันทร์” (ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ)
 ซึ่งกำลังทรงพระครรภ์ก็ทูลขอให้งดซึ่งราชการสงคราม สมเด็จพระนเรศวรจึงทรงให้สัญญาว่าจะเสด็จไปทำศึกครานี้เป็นครั้งสุดท้าย เมื่อเสด็จถึงเมืองเชียงใหม่ก็ยั้งทัพจัดกระบวนอยู่หนึ่งเดือน แล้วให้ทัพสมเด็จพระเอกาทศรถยกขึ้นไปทางเมืองฝาง ส่วนกองทัพหลวงยกไปทางเมืองหางตั้งค่ายหลวงประทับอยู่ที่ทุ่งแก้ว  อยู่มาสมเด็จพระนเรศวรทรงพระประชวรจึงโปรดให้ข้าหลวงรีบเชิญเสด็จพระเอกาทศรถมาเฝ้า ครั้นมาถึงได้ 3 วัน
8 ปีเต็ม ของการเดินทางนับตั้งแต่ ‘ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช  ภาค 1 องค์ประกันหงสา’ เข้าโรงฉายให้คนไทยไพร่ฟ้าได้ยลยินให้ประจักษ์แก่ความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์ไทยซึ่งปลุกกระแสความรักชาติได้อย่างท่วมท้น  ถามใครก็รู้จักและพูดถึงไม่ว่าจะเป็นลูกเด็กเล็กแดงอาม่าอากง  และเห็นได้จากรายได้แต่ละภาคที่เฉลี่ยแล้วมากกว่า 200 ล้านบาท
 แต่เมื่อต้องแบ่งค่าตั๋วกับโรงหนังตามวิถีก็ทำให้พอหักลบกลบทุนแล้วรายได้แล้วก็ยังไม่คุ้มทุนสร้างที่ทุ่มเงินไปมากกว่างบบูรณปฏิสังขรณ์โบราณสถานวัดวาอารามในแต่ละปีเสียอีก  แต่ด้วยสปิริตอันแรงกล้าทำให้ ‘ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช’ ดั้นด้นมาถึงภาค 6 ซึ่งเป็นภาคปิดฉากสุดท้ายนี้  หลังจากที่ ภาค 5 เคยเป็นภาคสุดท้ายมาแล้วก่อนหน้านั้น

รีวิวหนัง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อวสานหงสา

หนังเปิดฉากด้วยภาพย้อนอดีตเมื่อครั้งทำศึกยุทธหัตถีในภาคที่แล้ว  ซึ่งพระมหาอุปราชา (นภัสกร มิตรเอม) พ่ายยุทธหัตถีต่อพระนเรศวร (พ.ท.วันชนะ สวัสดี)  เป็นผลพวงให้พระเจ้านันทบุเรง (จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์) โกรธกริ้วและพาลลั่นลงโทษประหารทัพทหารที่เหลือรอดกลับมาทั้งโคตรทำให้เสียกำลังทัพและไพร่พล  รวมถึงได้ปลิดชีพพระสุพรรณกัลยา (เกรซ มหาดำรงค์กุล) ซึ่งเป็นองค์ประกัน  ทำให้พระนเรศวรยืนกรานยกทัพไปกำราบพระเจ้านันทบุเรงถึงเมืองตองอู  และแล้วก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นให้ต่างฝ่ายต่างแพ้ภัยของกันและกันเอง
ถึงแม้โดยรวมแล้วหนังออกจะประดักประเดิดถึงขั้นล้มเหลวเมื่อเทียบกับงานกำกับในภาคอื่นๆ ก่อนหน้านี้ของท่านมุ้ย  เมื่อมองความสมบูรณ์ด้านการเล่าเรื่องทั้งตัวบทและการกำกับมันเลวร้ายยิ่งกว่าตอน ‘ยุทธหัตถี’ ภาคก่อนหน้าที่ผู้ชมไม่น้อยบ่นกันว่าเป็นหนังที่ไม่สมศักดิ์ศรีกับการเป็นภาคปิดฉากบทสรุปมหากาพย์อันยิ่งใหญ่
ซึ่งเป็นหนึ่งในผลพวงที่ทำให้ประกาศเกิดภาคนี้ต่อมา  หนังเริ่มโอนเอนตั้งแต่คลอดไตเติ้ลต้นเรื่องที่เล่าย้อนถึงภาคก่อนหน้าที่ทั้งจังหวะการตัดต่อ  สกอร์ดนตรีประกอบ  และกราฟฟิกตัวหนังสือต่างขัดแข้งขัดขากันและกันให้ล้มครืนไปพร้อมกับร่างของพระมหาอุปราชาที่พ่ายยุทธหัตถี
ต่อด้วยการเล่าเรื่องอย่างรวดเร็วว่องไวแต่กลับไม่รู้สึกถึงความกระชับและไหลลื่น  รายละเอียดหลายอย่างถูกทิ้งขว้างให้เหลือเพียงเส้นเรื่องที่ปล่อยให้ตัวละครพามุ่งตรงไปเผชิญ  ตัวละครและสถานการณ์ที่ดูมีมิติชั้นเชิงก็กลายเป็นเรียบแบนไร้อารมณ์  การถ่ายภาพบางช็อตบางตอนที่ผิดเพี้ยนไป  เทคนิคแต่งหน้าพระเจ้านันทบุเรงที่กำกึ่งว่าน้ำเหลืองไหลหรือสีไม่แห้ง
 และเทคนิคภาพพิเศษเช่นฉากธงทัพสะบัดไกวแต่ใบไม้ด้านหลังมิไหวติงที่ดูตัดแปะยิ่งกว่าภาคไหนๆ  โดยเฉพาะฉากประดาบแรกพบระหว่างพระเอกาทศรส (พ.อ.วินธัย สุวารี) กับ เม้ยมะนิก (เต็มฟ้า กฤษณายุธ) ที่ฉากแอคชั่นเห่ยๆ เก้ๆ กังๆ ช่างเลวร้ายพอดิบพอดีกับฉากหลังพระพุทธรูปที่พิกเซลระเอียดยับเสียเหลือเกิน
ดูหนัง 4k  แต่ถึงอย่างนั้นในทุกๆ ส่วนที่กล่าวมานี้ยังมีความน่าสนใจซ่อนให้เห็นอยู่  ส่วนหนึ่งกลายเป็นความบันเทิงที่มาจากฉากสงครามฉากแอคชั่นที่ด้อยเปลี้ยยิ่งกว่าทุกภาคที่ผ่านมาแต่ประดักประเดิดจนขบขันได้ใจจริงๆ
และส่วนตัวเพิ่งพบความบันเทิงจากตัวละครทั้งหลายทั้งที่ภาคก่อนหน้าก็มีส่วนประกอบเหล่านี้อยู่แต่ส่วนตัวเพิ่งสัมผัสได้ในภาคนี้  1. ชื่อตัวละครที่นอกจากจะแปลกหูและยาวเหยียดแล้ว  มันยังฟังดูไพเราะทุกครั้งที่ได้ยินชื่อตัวละครมากมายหลายชื่อ  หนำซ้ำหลายตัวละครยังมีชื่อเรียกในแต่ละถิ่นที่ไม่เหมือนกัน
สัมผัสได้ทั้งความงุนงงและลุ่มรวยทางภาษาชาติอาเซียนเพื่อนบ้านไปในเวลาเดียวกัน  2. ลักษณะตัวละครฝ่ายร้ายที่เหมือนถอดแบบออกมาจากละครเย็นทางโทรทัศน์  เช่น เมงเกสอ (รัชนี ศิระเลิศ) กับ นัดจินหน่อง (น.ท.จงเจต วัชรานันท์)
แม่ลูกแผนสูงกับยาพิษลอบฆ่า  ยิ่งซูมขวดยาชัดๆ มันยิ่งใช่มากๆ รวมถึงฉากที่พระเจ้านันทะบุเรงเห็นภาพหลอน(วิญญาณ?)พระมหาอุปราชาผู้เป็นโอรสที่คัลท์เสียเหลือเกิน  หลุดโลกทั้งการแสดงและการเล่าสภาวะจิตใจตัวละครแบบแฟนตาซีไซโค  ในท่าทีที่ไม่ได้เห็นในหนังไทยเรื่องไหนมานาน  นอกจากละครโทรทัศน์ 3. การแสดงที่ทำให้ตัวละครที่แลดูมีมิติ  เล่นใหญ่จนไร้มิติแต่ยังคงให้มุมมองน่าสนใจ  ซึ่ง รัชนี ศิระเลิศ, น.ท.จงเจต วัชรานันท์, นภัสกร มิตรเอม  และ  จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์  เข้าวินชิงชัยมาตามๆ กัน
แล้วก็ไม่รู้ว่าจะเสียใจหรือดีใจกับ ปีเตอร์ – นพชัย ชัยนาม (พระราชมนู)  สรพงษ์ ชาตรี (มหาเถรคันฉ่อง)  นิรุตติ์ ศิริจรรยา (เมงเยสีหตู)  และ อาร์ต – อัสนี สุวรรณ ที่สุ้มเสียงยังดูเป็นคนในโลกเสมือนจริงผิดแปลกไปจากชาวอโยธยาและพม่ารามัญส่วนใหญ่   ส่วน แอฟ – ทักษอร เตชะณรงค์ (มณีจันทร์)
ที่ถึงจะเปลี่ยนนามสกุลแล้วก็ยังสวยมาก  และสุดท้ายนี้ยินดีกับ ผู้พันเบิร์ด  ที่ถึงแม้จะไม่ได้ธรรมชาติสมบูรณ์แบบแต่ก็สามารถฝ่าด่านดราม่ายาวยืดร่วมกับนักแสดงทุกคนที่ปรากฏอยู่ในฉากจบผ่านมาได้ด้วยพัฒนาการแสดงที่กระเตื้องขึ้นในเฮือกสุดท้าย
ด้วยความที่ลวกเส้นยังไม่สุกดีทำให้ก๋วยเตี๋ยวชามนี้ไม่ได้อร่อยเป็นพิเศษตามสูตรเหมือนความยิ่งใหญ่และความเยอะแยะที่ภาคก่อนๆ หน้าดูจะเอาใจมวลชนได้มากกว่า  ซึ่งพอได้อาศัยลูกเล่นเดียวกันซ้ำทางเดิมกันมาตลอดมันก็ทำให้ไม่มีอะไรที่ใหม่อีกแล้วนอกจากการออกแบบให้เห็นความโอ่อ่าทางภาพที่แม้จะทำสำเร็จมันก็ให้แค่ความหวือหวาตื่นตาตื่นใจ
 แต่กับภาคนี้พอมันลดความสำคัญของความยิ่งใหญ่ลงตามเรี่ยวแรงกำลังคนทำ  กำลังทุน  หรืออาจเกิดจากความตั้งใจก็แล้วแต่  มันกลับทำให้เกิดมิติประเด็นเรื่องราวและตัวละครที่เหลือปรากฏบนจอที่พอดีกับเนื้อเรื่อง  ไม่ระเบิดระบายจนฟูมฟายเกินไป  ความลุ่มๆ ดอนๆ มันกลายเป็นเครื่องมือขจัดส่วนซ้ำซากเดิมๆ  และเกิดแง่งามให้เห็นชัดขึ้นจนสัมผัสตัวตนตัวละครได้โดยที่หนังไม่ต้องพยายาม  เป็นมุมใหม่ที่น่าลิ้มลองสัมผัสดู