รีวิวหนัง Die Tomorrow
แค่จบพาร์ทแรกก็อยากลุกกลับบ้านแล้ว ‘Die Tomorrow’ คืออัลบั้มเพลงว่าด้วยชีวิตและความตาย ในอัลบั้มนี้ประกอบด้วย 13 บทเพลง บางเพลงเราชอบทำนอง บางเพลงเราชอบเนื้อหา รีวิวหนัง Die Tomorrow บางเพลงชอบแค่ท่อนฮุก บางเพลงก็ชอบเสียงร้อง เราอาจชอบบางเพลงเป็นพิเศษและฟังบางเพลงแบบข้ามๆ ไปบ้าง แต่พอฟังจบก็อาจได้ความรู้สึกต่างกันไป
และก็เป็นไปได้ที่บางคนอาจไม่ชอบทั้งอัลบั้มเลย เพราะเพลงอัลบั้มนี้มีท่วงทำนองที่แต่งมาให้กับคนเฉพาะกลุ่ม แต่เรามั่นใจว่าเนื้อร้องที่ผู้กำกับเขียนออกมาไม่ได้ไกลตัวใครเลย มันเป็นเนื้อที่ใกล้ตัวมาก แต่อาจมีเมโลดี้ที่ไม่คุ้นหู เอ๊ะไม่เหมือนอัลบั้มที่แล้วเลยนี่หว่า โดยรวมก็ถือว่าเป็นการฟอร์มวงใต้ดินของพี่เต๋อที่น่าประทับใจมากอีกตามเคย : )
ดูหนังออนไลน์ แต่ถามว่ามันเป็นหนังที่มีบทสรุปให้เป็นข้อคิดไหม…ก็ไม่นะ มันไม่ได้บอกว่า ‘ข้อคิดในวันนี้ เราควรใช้ชีวิตอย่างมีสติ’ มันไม่ได้พูดเลย สิ่งที่เราจับได้จากหนังคือเราจะตายตอนไหนก็ได้ จะออกจากโรงหนังแล้วตายก็ได้ หรือจะตายคาโรงในนาทีถัดมาเลยก็ได้ คือมันไม่มีอะไรบอกได้เลยว่าคนที่ตายก่อนต้องเป็นคนร่างกายอ่อนแอกว่าหรือว่าเป็นคนที่นิสัยไม่ดี

การดูหนังเรื่องนี้เลยทำให้เรากลับมาสรุปข้อคิดกับตัวเองมากกว่าว่าเราอยากใช้ชีวิตให้ดีขึ้น รักคนที่เราควรจะรักมากขึ้น ดูแลเอาใจใส่สิ่งสำคัญในชีวิตมากขึ้น
เป็นหนังที่จุดประเด็นให้คิดว่าอยากตายแบบไหน
“มีกฏสามข้อในการมีชีวิตอะ เป็นแบบเกิด ใช้ชีวิต แล้วตาย ซึ่งคนจะจำข้อหนึ่งกับสองแต่ไม่จำสาม” -พี่เต๋อพูดเอาไว้ในบทสัมภาษณ์ คุยกับ เต๋อ-นวพล ถึงหนังอิสระเรื่องใหม่ที่ถ้า Die Tomorrow ก็ไม่เสียดายแล้ว
พอเราไปดูหนังจริงๆ ก็กลับมาคิดว่าเออจริงด้วยว่ะ เพราะในหนังเรื่องนี้มันทำให้เรากล้าคิดด้วยซ้ำ ว่าจะตายแบบไหนดี จากปกติที่จะใช้ชีวิตแบบลืมหูลืมตา ‘เห้ยอย่าพูดเรื่องตายเลยยังไม่ตายหรอกมั้ง เอาหัวข้อนี้ออกไปไกลๆ’ หลังดูจบเลยได้คิดมากขึ้น และเปลี่ยนความกลัวตายนั้นให้มาเป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตให้ดีกว่าก่อนหน้านี้มากกว่า

ทุกวินาทีมีคนตาย 2 คน แค่ระหว่างดูหนังเรื่องนี้คนก็ตายไปกว่า 8,000 คนแล้ว
หนังมันบีบมากๆ ด้วยเสียงเงียบๆ ของมัน เสียงนาฬิกาติ๊กต่อกติ๊กต่อก รวมถึงเฟรมหนังที่มันบีบเป็นสี่เหลี่ยมไซส์เกือบๆ จะจตุรัส ทำให้เราอึดอัดในการดูเหมือนกัน แต่ในบางพาร์ทความอึดอัดก็กลายเป็นความปลงในชีวิต เหมือนหนังมันบอกเราว่า เออมึงไม่ต้องตกใจ ยังไงคนทั้งเรื่องและตัวมึงเองก็ต้องตายอยู่แล้ว มึงไม่ต้องลุ้นอะไรหรอก เดี๋ยวมึงก็ต้องตายเหมือนตัวละครที่มึงดูอยู่อะแหละ มึงแค่ไม่รู้ว่ามึงต้องตายตอนไหน ตัวละครที่มึงดูอยู่พวกมันก็ไม่รู้เหมือนกัน
ดูหนังออนไลน์ 4k ในหนังเรื่องนี้ พี่เต๋อนำเอานักแสดงรุ่นเก่าตั้งแต่คุณทรายจากเรื่อง 36 มาจนถึงหนังสั้นหนังยาวหนังโฆษณาเรียกว่าเอามาหมด และแน่นอนว่านักแสดงทุกคนผ่านการแคสต์มาเป็นขั้นตอนปกติเหมือนกันนะ
พี่เต๋อเคยพูดเล่นๆ ตอนให้สัมภาษณ์ว่ามันเหมือนเราคิดว่าถ้าหนังเรื่องนี้คืองานศพของเรา เราก็อยากให้คนที่เราเคยทำงานด้วยมาอยู่รวมกันที่งานศพนี้ และมันออกมาเวิร์คมากๆ ตัวละครทุกตัวคือดีงาม แสดงพลังงานของตัวเองกันออกมาได้ครบ มันเหมือนเราดูหนังภาคต่อของเรื่องเก่าๆ ที่พวกเขาเคยเล่นมา แต่ครั้งนี้พวกเขาแก่ขึ้นและมีหัวข้อความตายเป็นบทสนทนาที่สื่อสารกับคนดู
เป็นหนังที่ถ้าเลือกได้ก็ควรดูในโรงภาพยนตร์
มันมีหลายเหตุผลมากๆ ที่ควรจะดูกันในโรงภาพยนตร์ อย่างแรกเลยคือเรื่องของเสียงเพลงประกอบ มันมีหลายองค์ประกอบของเสียงในหนังเรื่องนี้ และเราว่าถ้ารอดูแผ่นเราอาจเก็บรายละเอียดเองไม่ได้เท่าดูในโรงภาพยนตร์ รวมถึงภาพหรืออัตราส่วนของหนังที่พอดูในโรงแล้วมันได้บรรยากาศมากๆ
แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดที่เราคิดก็คือสมาธิ อย่างที่บอกว่าหนังเรื่องนี้มันเหมือนอ่านหนังสือธรรมะ และความเงียบในโรงภาพยนตร์มันเงียบจริงๆ แบบที่เราจะมีเวลาคิดทบทวนกับตัวเองไปด้วยในระหว่างที่ดูหนังอยู่ และอีกมุมมันก็อึดอัดด้วยที่เราต้องรอจนหนังจบถึงจะมีโอกาสออกไปใช้ชีวิตให้ดีขึ้น อย่างตัวเราเองแค่หนังผ่านไปพาร์ทแรกก็รู้สึกร้อนรนอยากจะโทรหาพ่อหาแม่แล้ว และในหนังมันยังมีเวลาบอกด้วยว่าหนังดำเนินมากี่นาทีแล้ว และคนตายไปกี่คนแล้ว เพราะจากสถิติทุกวินาทีจะมีคนตายสองคน
ถ้าไปดูกับพ่อแม่จะรุนแรงไปไหม
ข้อนี้เป็นคำถามที่ถามตัวเองเหมือนกันระหว่างที่ดูอยู่และสำหรับเราคำตอบคือไม่ได้ว่ะ มันจะเศร้าไปหน่อย ขอดูเงียบๆ คนเดียวแล้วค่อยกลับไปตกตะกอนกับตัวเองดีกว่า
แต่ก็คิดว่ามันก็อาจมีข้อดีเหมือนกันนะ คือแล้วแต่คนจริงๆ ถ้าดูพร้อมพ่อแม่ไปด้วยจับมือกันไปด้วยอาจได้อีกความรู้สึกก็ได้ แต่แค่เราป๊อดเกินจะทำอะไรแบบนั้น ฮ่าๆๆ
ดูหนัง สวัสดีครับหลังจากที่ผมได้ไปรับชม Die Tomorrow หรือพรุ่งนี้ตายของพี่เต๋อ นวพล มานั้นซึ่งผมได้แอบๆเฝ้าดูว่ามันเกี่ยวกับอะไรตั้งแต่ที่พี่เต๋อเอาคลิปลงเฟสที่มีชื่อว่า Die Tomorrow first look เมื่อประมาน 6 เดือนที่แล้วซึ่งมีแค่ภาพชื่อหนังและนักแสดงอยู่ข้างหลังเลยทำให้ผมนั้นสงสัยและคอยเฝ้าตามมาตลอด จนกระทั่งพี่เต๋ออัพเทรลเลอร์ลงเฟสบุ๊คประจวบกับ sf เมญ่าแถวบ้านผมเปิดจองตั๋วล่วงหน้าก็ไม่รีรอเลยครับ เพราะตัวผมช่วงหลังๆเองก็ได้มีโอกาสดู Mary is Happy กับ 36 แล้วประทับใจมากๆครับ
เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า อันนี้เป็นความคิดเห็นของผมนะครับถ้าหากผิดพลาดอะไรตรงไหนก็ขออภัยด้วยนะครับ เท่าที่ผมสามารถใช้ความเข้าใจในการตีความหนังสุดอินดี้ของพี่แกก็จะประมานว่าความตายนั้นเป็นเรื่องธรรมดามีคนตายทุกๆวัน คนเราก็สามารถเกิด แก่ เจ็บ และตายได้ แต่ถ้าหากว่าคนที่เราคุ้นเคยหรือรู้จัก มาตายแบบไม่มีคำได้บอกกล่าวบอกลา มันคงเป็นอะไรที่เศร้ามากๆ เพราะความตายเป็นสิ่งที่คนเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าจะตายตอนไหน
ดังนั้นเราก็ควรใช้ชีวิตให้รอบคอบและแคร์กับคนที่เรารู้จักหรือคุ้นเคยให้มากที่สุดเพื่อมีความทรงจำร่วมกัน ก่อนที่จะไม่ได้เจอกันอีกความตายก็เป็นการหายไป แต่เป็นการหายไปตลอดกาลที่ไม่มีวันกลับ มีเพียงความทรงจำ/รูปภาพและความรู้สึกดีๆที่มีให้ต่อกันและกันเท่านั้น ไม่แน่สิ่งที่ผมเขียนวันนี้พรุ่งนี้ผมอาจจะไม่อยู่แล้วก็ได้ใครจะไปรู้หล่ะเนอะ 5555 ชีวิตคนเรามันไม่แน่ไม่นอนอยู่แล้วครับ

ซึ่งหนังจะแบ่งออกเป็น 2 อย่างหลักๆคือแนวคิดของความตายในทัศนคติของแต่ละคนว่ามีความคิดเกี่ยวกับการตายแบบไหน/พาร์ทนักแสดงที่ขนกันมาเป็นตำบลและเยอะมากก ก็จะเป็นการเล่าเรื่อง(น่าจะเป็นความทรงจำของพี่เต๋อช่วง 54-59 ตามที่พี่เต๋อบอกแหละครับ) ซึ่งในแต่ละพาร์ทก็จะมีบทบาทแตกต่างกัน ความสัมพันธ์ของตัวละครคนละแบบ ถึงตอนนี้คนที่เข้ามาอ่านก็คงมีความรู้สึกว่า เฮ้ย! งี้หนังจะหนุกเหรอวะ มีพากย์ๆ แสดงๆ จะสนุกเหรอ
รีวิวหนัง Die Tomorrow
ซึ่งตรงนี้ผมก็ไม่สามารถบอกได้นะครับว่าสนุกหรือเปล่า แต่ถ้าถามว่าควรดูไหมผมว่าควรครับ มันทำให้เราเปลี่ยนทัศนคติกับคำว่าตายพอตัวเลย เปลี่ยนความกลัวที่มีต่อคำว่า “ตาย” มาเป็นข้อคิดต่อชีวิตเพราะยังไงสุดท้ายคนเราก็มีจุดจบเหมือนกันทุกคนก็คือความตาย หลายคนถ้าไม่ชอบแนวพี่เต๋อก็บอกเลยครับว่าคุณหลับ/ไม่สนุกแน่ๆ
เพราะพี่ในโรงข้างๆผมหลับสนิทเลย แต่สำหรับผมผมมีความรู้สึกว่าหนังมันมีอะไรบางอย่างที่สะกิดต่อมให้อยากดูต่อ ตลอด 70 กว่านาทีผมไม่หาวเลยและยังรู้สึกว่าอยากดูต่อเรื่อยๆ มันมีอะไรบางอย่างน่าติดตามจริงๆ มุมกล้องในหนังก็สวยมากเช่นกันครับเรื่องการแพนกล้องอะไรนี้เนียนมากสำหรับผมนะ (เพลงประกอบเพราะมากกก ชอบๆ)
มาในพาร์ทนักแสดงบ้าง เรื่องนี้ตามที่บอกนะครับว่าแบ่งเป็น 2 หลักและหนังประมาน 70 นาทีไม่ต้องแปลกใจมากนะครับถ้าจะออกน้อยกัน 5555 จูนจูน/เมโกะ/ออกแบบ อยู่ด้วยกันนี่ผมละลายเลยครับ ไม่รู้จะแบ่งไปดูคนไหนดีคนนั้นก็น่าดูคนนี้ก็ดี ปวดหัวเลยครับเลือกไม่ถูก 555 เรื่องนี้จะไม่มีการบอกแนะนำตัวละครเลยนะครับ ถ้าหากเราจะรู้ว่าคนนี้ชื่ออะไรก็ต้องรอในหนังมันพูดชื่อนี้ออกมาเองครับ อย่างออกแบบน่าจะชื่อส้ม

เมโกะน่าจะแพร และจูนจูนนี่อะไรสักอย่างแต่ตัว ป.ปลานี่แหละครับ ลืม จำไม่ได้ส่วนวี วิโอเล็ตชื่อเล็ก นักแสดงคับแน่นมากครับผมและนักแสดงทุกคนเล่นได้เป็นธรรมชาติมาก ยิ่งฉากดราม่าฉากเรียกน้ำตานี่สามารถเรียกน้ำตาได้พอสมควรเลยหล่ะครับ ปล.(พี่เมย์วง Fwends อยู่ฉากไหนอ่าาาา
ดูหนัง 4k ผมเห็นชื่อในนักแสดงรับเชิญเห็นชื่อพี่แกอยู่แต่ไม่รู้ว่าฉากไหน ร้องไห้ ) แต่อย่างที่บอกครับด้วยความสั้นหนังทำให้ฉากแต่ละฉากที่สั้นทำให้ผมรู้สึกว่าในบางฉากยังไม่สุดอยู่สักหน่อยครับ แบบอันนี้จบ ตัดอ่าวเห้ยอันเก่าหล่ะพี่เต๋อออ
แต่ผมชอบแนวคิดที่หนังพยายามกล่าวมาทั้งหมดนะครับ ตรงที่หนังบอกว่า ใน 1 วันมีคนตาย xxx,xxx คน แต่ใน 1 วินาทีที่เรานั้นไม่ค่อยสนใจจะมีคนตายหรือเสียชีวิต 2 คนต่อ 1 วิดังนั้น 70.21 นาทีในหนังที่มัน stop เอาไว้ก็ประมาน 7000-8000 คนได้ถ้าผมจำไม่ผิดนะ เท่ากับว่าเราดูหนังเรื่องนี้ 1 รอบมีคนตาย ประมาน 8000 คน ดังนั้นเราควรเอาใจใส่ให้ตัวเองมากๆ และคนรอบข้างให้มากๆ โชคดีแค่ไหนที่เรายังอยู่รอดมีชีวิต
(แต่ไม่แน่อาจจะโดนตายเพราะบาทาอันนั้นก็อีกเรื่องนะ) ตามที่กล่าวไปข้างต้นครับ มีคำพูดนึงในหนังที่แบบว่าชอบมากครับ และก็ขอบ่นหน่อยนะครับ เป็นหนังเรื่องแรกที่ผมคิดว่าเป็นหนังที่ไม่มีเสียงรบกวนอะไรเลยครับ ไม่มีเสียงคนคุยกันไม่มีมือถือมาเล่นระหว่างหนัง ไม่มีอะไรเลย

รีวิวหนังไทย มีแต่เสียงผมไอ กับเสียงอีกคนนึงไอเท่านั้น ทุกคนตั้งใจดูหนัง (หรือหลับ?) กันมากๆครับ ตั้งแต่เริ่มจนจบเครดิต รอบ 19.30 เมญ่าเชียงใหม่ครับ แม้แต่เครดิตทั้งโรงยังคงเงียบสงัด น่าจะยังคงอึ้งกับในสิ่งที่เกิดขึ้น? หนังออกแนวดาร์คๆ ซึมๆหน่อยน่าจะยังคงซึมกันอยู่ครับ
การกลับมาอีกครั้งของเจ้าพ่อหนังอินดี้ที่มีสาวกฮิปสเตอร์ติดตามมากที่สุด (น่าจะ) ในประเทศ อย่าง เต๋อ-นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ หลังจากไปปล่อยของในค่ายหนังแมสอย่าง GTH มาเมื่อ 2 ปีก่อนกับ Freelance ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหม
รอบนี้นอกจากจะเป็นหนังที่หาทุนตามสไตล์หนังอิสระ และร่วมงานกับผู้กำกับภาพอย่าง นิรมล รอสส์ อีกครั้งหลังจากฟรีแลนซ์ฯ นี่ยังรวมถึงการร่วมงานกับศิลปินนักแต่งเพลงอย่างวง Plastic Plastic เป็นครั้งแรกแล้ว ยังเป็นงานที่พี่เต๋อเรียกว่า หนังส่วนตัว มากที่สุดตั้งแต่เคยทำมาเลย เพราะเป็นงานที่ทำมาสนองโจทย์ตัวเองว่า ถ้าพรุ่งนี้ตาย นี่จะเป็นหนังที่เขาภูมิใจและรักที่สุด
งานนี้เลยได้ทีมงานและดาราที่เคยร่วมงานกับเขามาคับคั่งเลย คือโคตรคุ้มคนดู ทั้ง ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์, จูนจูน-พัชชา พูนพิริยะ , ทู-สิราษฎร์ อินทรโชติ, พลอย-รัตนรัตน์ เอื้อทวีกุล, ต้นหลิว-มรกต หลิว, พาย-กัญญภัค วุธรา (นักร้องนำวง My Life as Ali Thomas), ออกแบบ-ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง, วี-วิโอเลต วอเทียร์, ทราย-กรมิษฐ์ วัชรเสถียร, เมโกะ-ชนนิกานต์ เนตรจุ้ย, เต้ย-จรินทร์พร จุนเกียรติ กับอีก หนึ่งตัวละครลับที่มาได้แบบเหนือชั้นคือมานอนเล่น 55 เรียกว่าไม่หวาดไม่ไหวจะจำ ถ้าเป็นหนังสตูดิโอใหญ่ นี่ต้องระดับ Love Actually แล้วล่ะ

หนังเล่าคอนเซ็ปต์ของความตายในมุมแบบเต๋อ ๆ ได้น่าสนใจ ตามสโลแกนหนังที่บอกว่า ก่อนวันที่เราตายมักจะเป็นวันธรรมดา ๆ วันหนึ่ง โดยหนังเล่าแบ่งเป็น 2 ส่วนการนำเสนอ ส่วนแรกเป็นงานการแสดงแบบ Fiction จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์หนึ่งวันก่อนเกิดเหตุของคนแต่ละกลุ่ม โดยเอาเหล่าเหตุการณ์ตายประหลาดที่เป็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์มาแต่งเติมเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างเรื่องราว ซึ่งหลาย ๆ ตอนมีความน่าสนใจแบบต้องลุ้นเลยว่าชะตากรรมตัวละครจะเป็นอย่างไร บางตอนก็ชวนหดหู่ บางตอนก็ชวนให้คิด และบางตอนก็ไม่มีอะไร
โดยก่อนหรือหลังของแต่ละตอนจะมีข่าว ที่เขียนคล้ายบทภาพยนตร์ ให้เราอ่าน ตรงนี้ต้องตั้งใจตามนิดหนึ่ง เพราะมันจะส่งผลตรงกับตัวละครในแต่ละตอนนั้น ๆ โดยชื่อของแต่ละตอนนั้นก็มีปรากฏบนโปสเตอร์หนัง ใครจะไปเก็บแบบละเอียดก็ดูชื่อตอนอาจจะเก็ตสารบางอย่างมากขึ้นด้วย
แต่มันก็ช่วยทิ้งก้อนความคิดบางอย่างไว้ เช่นว่า คนเราจะตายตอนไหนก็ได้ จะเป็นใครก็ได้ จะเป็นเรื่องดีหรือร้ายก็ได้ ซึ่งเป็นธรรมชาติความตายที่เราพบเจอทุกวัน หากแต่เราอาจลืมรู้สึกถึงมันไป หนังเหมือนตัวกระตุ้นให้เราลองทบทวนถึงมันเท่านั้นเอง
อีกส่วนที่ไม่ใช่พาร์ทนักแสดงจะเป็นงานแบบ Non-fiction อย่างสารคดี มีสัมภาษณ์ มีใช้ฟุตเทจเก่า ประกอบ ซึ่งเต๋อเคยลองมาในงานอย่าง The Master สารคดีพี่แว่นวิดีโอได้อย่างโคตรสนุกมาแล้ว ดังนั้นรับรองว่าถึงจะมาพาร์ทสารคดีมันก็ไม่น่าเบื่อเลย โดยเฉพาะกิมมิกที่เต๋อใส่ไว้แต่ต้นเรื่องว่าทุก 1 วินาทีจะมีคนตาย 2 คน แล้วหนังก็ใส่ไทม์โค้ดที่บอกเวลาที่ผ่านไปของหนัง พร้อมกับตัวนับยอดคนตายตลอดเวลาที่หนังดำเนินไป