รีวิวหนัง ฮาวทูดูหนังจืดให้เป็นหนังปรัชญา
หลังจากที่ตกหลุมรักมนุษย์ ปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอใจเกเรที่กำลังจะถูกล้างข้อมูลจึงต้องหลบหนีด้วยการสิงร่างชายคนหนึ่งและพยายามเอาชนะใจเธอให้ได้ เรียกว่ามาได้จังหวะดีทีเดียวเพราะยังอยู่ในกระแสชวนถกเถียงว่าทำไมคนไทยไม่ดูหนังหรือละครไทยที่คนพูดถึงกันมาหลายวัน แล้วเรื่องนี้ก็ผุดขึ้นมาเหมือนเติมเชื้อไฟเข้าไปเพิ่ม เชื่อว่าหลายคนอาจได้เห็นกระแสคำติชมล้นหลามต่อหนังเรื่องนี้ทางโซเชียลมีเดียก่อนที่จะได้ดูมันจริง ๆ รีวิวหนัง ฮาวทูดูหนังจืดให้เป็นหนังปรัชญา
หนังมีจุดแข็งที่น่าสนใจในด้านวิชวล โดยเฉพาะเอไอในรูปแบบอาคารที่มีใบหน้ามีตามีปากแบบหุ่นกระป๋องขนาดยักษ์ แถมบางตัวยังมีแขนที่ช่วยในฟังก์ชันสื่อภาษากายแสดงความรู้สึกด้วย คือแหวกกระชากประสบการณ์ผู้ชมมาแต่ไกล และความพิถีพิถันในงานซีจีก็ถือว่าทำออกมาได้เนียนตากำลังดี เอาจริงถ้าหนังต่อยอดศักยภาพที่มีไปจนถึงเอาพวกอาคารเอไอลุกขึ้นมาแล้วต่อยกันเป็นหนังหุ่นยักษ์ น่าจะได้ใจกลุ่มคอหนังคัลต์ไปอีกมากโข น่าเสียดายที่ผู้สร้างยังดูยั้งมือมากไปหน่อย นอกจากนี้หนังยังมีจุดดีในการดึงนักแสดงอย่าง ใบเฟิร์น – พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์ และ มาริโอ้ เมาเร่อ กลับมาร่วมงานกันในหนังโรแมนติกได้หลังจากความสำเร็จใน “สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก” (2553) เมื่อ 12 ปีก่อน ศักยภาพนักแสดงนั้นเจาะกลุ่มตลาดเอเชียได้อย่างสบายมาก ๆ และการแสดงของทั้งคู่และออร่าความสวยหล่อก็ยังพุ่งทะลจอแม้บทจะไม่ได้ส่งเท่าใดนัก

ดูหนัง ปัญหาของหนังน่าจะเป็นเรื่อง โลกฉากหลังอันแห้งแล้งหัวใจ เหมือนเราเดินเข้าไปอยู่ในเกมเดอะซิมที่มีแต่ NPC มากกว่าโลกอนาคตที่มีคนอยู่จริง ๆ ตัวบทไม่ได้ชักนำให้รู้สึกถึงมิติความซับซ้อนของตัวละครและเรื่องราว หรือแม้แต่สาระที่ต้องการถ่ายทอดก็ออกมาไม่ค่อยชัด รวมกับการกำกับการแสดงที่ประดักประเดิดไม่ค่อยลงตัว เข้าใจว่าผู้กำกับอย่าง สเตฟาน สโลเตซคู และ เดวิด อัศวนนท์ อาจมีปัญหาในการคุมโทนของหนังไม่น้อย จึงมีฉากประหลาดแบบ หัวนมซีนและเรอซีน เข้ามา และทำให้นักแสดงต้องอาศัยความเข้าใจภาพรวมของเรื่องที่ก็ไม่ค่อยซับซ้อน แล้วแบกการแสดงในแต่ละฉากไปกันเอง
ทำให้จะดูเป็นหนังบันเทิงก็เลยไม่ค่อยสนุก ครั้นจะดูเป็นหนังคอนเซ็ปต์ก็ทำได้ไม่ชัดไปอีก และเหตุผลที่ว่ามาทำให้ไม่แปลกที่คนจำนวนมากรู้สึกไม่โอเคกับหนังเรื่องนี้

วิธีการที่ว่าคือ เปิดเสียงบรรยายไทย (Thai-Audio Description) แทนที่จะเปิดเสียงไทยธรรมดา ตัวช่วยเสียงบรรยายไทยนี้จริง ๆ ออกแบบมาสำหรับผู้พิการการมองเห็นสามารถเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นอยู่ได้ โดยจะมีเสียงคอมพิวเตอร์โมโนโทนที่เป็นผู้ชายคอยพูดเล่าว่าบนจอเกิดอะไรอยู่แทรกระหว่างที่ไม่มีบทสนทนาของตัวละคร
ความรู้สึกของคนที่สายตาปกติดู จะรู้สึกคล้ายมีผู้กำกับที่เป็นหุ่นยนต์กำลังนั่งบอกบทให้นักแสดงเล่นตามบท เช่น สาวหน้าหวานเอียงคอไปมาและยิ้มแห้ง ชายหน้าเข้มชูสองนิ้วและยักคิ้ว โดยที่ภาพตรงหน้าคือใบเฟิร์นและมาริโอ้กำลังเล่นตามคำบอกประมาณนี้ ข้อดีคือหนังจะไม่มีจุดเอื่อยเลย ทุกช่องว่างที่ตัวละครไม่พูดแล้วแสดงอะไรที่ไม่ได้สำคัญมันถูกเติมเต็มให้ดูน่าสนใจไปหมด เหมือนผู้สร้างมานั่งข้างคุณแล้วบอกว่าตรงนี้ผมอยากให้รู้สึกแบบนี้นะ
ประการต่อมาคือมันตอบโจทย์คอนเซ็ปต์ของหนังได้อย่างพอดิบพอดีมาก พลอตสำคัญคือตัวเอกในเรื่องจะถูกเอไอเข้าสิงร่างและมีการตั้งคำถามบาง ๆ ว่าอันไหนคือตัวตนที่มีอยู่จริง ๆ ในขณะเดียวกันพอเราดูนักแสดงเล่นตามคำบอกของเสียงบรรยายไทย มันก็คือนักแสดงเหล่านี้กำลังถูกสิงร่างด้วยผู้สร้างให้เป็นตัวละครนั้น ๆ อยู่ เกิดคำถามปรัชญาที่ล้อเคียงกันไปได้อย่างน่าสนใจทีเดียวว่าอันไหนคือของจริง นักแสดงหรือตัวละคร
และทำให้เกิดการถกเถียงขึ้นต่อไปได้อย่างน่าสนใจว่า หนังกำลังนำเสนออะไรที่ลึกซึ้งได้มากกว่าที่เห็นหรือไม่ ทำไมเอไอที่มีความรู้มากมากพอมาอยู่ในร่างมนุษย์ถึงกลายเป็นดูไม่ประสีประสาอะไรเลย หรือนี่คือบทจำลองว่าด้วยจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ (พระเจ้า) ที่พอจุติย่อยมาอยู่ในกายเนื้อมนุษย์ก็กลับสู่บาปและอารมณ์อันขุ่นมัวเหมือนเด็กไร้เดียงสา รอวันที่จะบรรลุกลับไปรวมกับจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง สำหรับในเรื่องนี้คือการค้นพบความรักและคำตอบว่าเขามีชีวิตจริงหรือไม่

หนังยังนำเสนอว่าเอไอที่รู้พฤติกรรมของนางเอกทั้งหมดย่อมทำสูตรสำเร็จให้นางเอกมารักได้ (ถ้าดูตามหนังปกติช่วงนี้จะอิหยังวะมากว่ารักกันง่ายจัง) เช่นเดียวกับเรื่องการตลาดแบบวิเคราะห์บิ๊กดาต้าที่หาสูตรสำเร็จสร้างความต้องการของลูกค้าจนได้ ใจมนุษย์มันถูกควบคุมง่ายถึงขนาดนั้นเลยหรือไม่ และเมื่อนางเอกรู้ความจริงถึงตัวตนใต้ใบหน้าของแฟนหนุ่ม เธอจึงได้โกรธมาก ไม่ต่างจากเราที่รู้ว่าฟีดที่ถูกใจทั้งหลายมาจากการถูกแอบฟังและแอบติดตามพฤติกรรมการใช้งานแอปทั้งหลาย ไม่รู้ผู้สร้างคิดไปขนาดนั้นไหมแต่ก็ชวนให้คิดได้เช่นกัน
รีวิวหนังไทย อีกหนึ่งอย่างที่น่าสนใจมากคือเพื่อนนางเอกที่เป็นคนจริง ๆ ที่ชื่อ คาร่า ไม่เคยปรากฏตัวในชีวิตจริงของนางเอกเลย ปฏิสัมพันธ์กันผ่านทางหน้าจอเท่านั้น เมื่อมองแบบนี้สิ่งมีชีวิตปลอม ๆ อย่างเอไอพระเอกที่ก้าวเข้ามาอยู่ในชีวิตจริง ๆ ของนางเอกจะถือว่ามีตัวตนอยู่จริงมากกว่าคาร่าได้หรือเปล่า น่าถกเถียงใช่มั้ยล่ะ
สุดท้ายก็เป็นได้ว่าผู้สร้างไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้ง หรือคิดไว้แต่ถ่ายทอดได้ไม่ดี จะออกหน้าไหนก็ยากที่จะรู้ แต่เมื่อหนังหลุดออกจากมือผู้สร้างมาสู่ผู้ชม เราก็เป็นเจ้าของการตีความนั้นแล้ว บางคนดูเอาสนุกบันเทิงและผิดหวัง บางคนดูเอาแง่มุมอื่นก็อาจสมหวังไป หนังเรื่องนี้และรีวิวนี้ก็กำลังชวนคิดเรื่องประมาณนี้ล่ะครับ ว่าคุณได้อะไรไปบ้างจากการเสียเวลาไปชั่วโมงครึ่งกับหนังเรื่องหนึ่ง ไม่มีผิดหรือถูกที่คุณจะรู้สึกดีหรีือไม่ดีจากการดูหนังเรื่องหนึ่ง ไม่มีใครเฉลยให้ได้เพราะคุณจะต้องตอบตัวเองเท่านั้น
Hello! เจอกันอีกครั้งนะคะ เราก็ได้มารีวิวเพลงกันสักพักหนึ่งแล้ว มีทั้งเพลงไทย เกาหลี และญี่ปุ่น ซึ่งเรายังไม่เคยรีวิวเพลงของทางฝั่งสากลเลย เพราะฉะนั้นในครั้งนี้จะมารีวิวเพลงที่หลายๆคนน่าจะรู้จักเป็นอย่างดี นั้นก็คือเพลง “I Love You So” ของThe Walters เราฟังเพลงนี้ครั้งแรกมาจากTiktok เห็นเป็นฉากจากหนังเรื่องๆหนึ่งและมีเพลงประกอบขึ้นมาคำว่า “I love you so (please let me go)” เราดูจากTiktokน้ำตาก็ซึมแล้ว เราก็เลยค้นหาว่ามันคือเพลงอะไร ลองฟังพร้อมกับอ่านเนื้อเพลง สิ่งที่เรารู้สึกได้คือความรู้สึกเศร้าจากเพลงๆนี้ เราชอบเนื้อเพลงและความหมายมากๆ ก็เลยเลือกมาในบทความครั้งนี้
ในส่วนของเพลง เพลงนี้ถูกปล่อยมาให้ฟังเมื่อ 7 ปีที่แล้ว แต่MVถูกปล่อยออกมาเมื่อวันที่18 พฤศจิกายน 2021 เพลงนี้เป็นการเล่าเรื่องราวในนมุมมองของคนที่เลือกจะเดินจากไปจากคนที่เค้ารักมากๆ แต่ก็ไม่ชัดเจนขนาดนั้น เพราะสาเหตุที่เค้าเดินจากไป อาจจะมาจากหัวใจที่พังยับเยินจริงๆหรือเสียใจที่รู้ว่าในใจของเธอนั้นมันไม่ใช่เรา มันคือความรู้สึกเจ็บปวดหัวใจและความเสียใจ เพลงนี้ไม่ได้ซับซ้อนมากเหมือนกับเพลงอื่นๆ เรามองว่าเพลงนี้ความหมายตรงตัวดีมาก เล่าแค่สถานการณ์เดียวแต่เป็นสถานการณ์ที่น่าอึดอัดที่สุด
รีวิวหนัง ฮาวทูดูหนังจืดให้เป็นหนังปรัชญา
มาถึงเนื้อเพลงที่เราชอบกันะคะ ความหมายของเพลงนี้คือที่สุดจริงๆ

I love you so (please let me go)
“ฉันรักเธอมากจริงๆ (ได้โปรดปล่อยฉันไป)”
I just need someone in my life to give it structure
“ฉันเพียงต้องการใครบางคนให้เข้ามาเติมเต็มชีวิตของฉัน”
I hope you feel what I felt when you shattered my soul
“ฉันหวังว่าเธอจะรู้สึกเหมือนที่ฉันรู้สึก ตอนที่เธอฉีกจิตวิญญาณของฉันจนแหลกสลาย”
You’re everything I want, but I can’t deal with all your lovers
“คุณคือทุกอย่างของฉัน แต่ทุกอย่างสำหรับคุณกลับเป็นพวกเขา ไม่ใช่ฉัน”
การเลือกเดินจากไป เพื่อรักษาหัวใจตัวเอง หรือ การที่ต้องทนอยู่อย่างเจ็บชำ ยื้อเวลาให้เค้าอยู่ด้วยกันนานขึ้น เพราะเราขาดเค้าไม่ได้ ความสับสนนี้ที่เกิดจากความไม่เข้าใจในความต้องการของตัวเอง หรือบางทีเราอาจจะเข้าใจแล้วก็ได้ ว่าเราต้องการอะไร เราต้องการที่จะไป แต่มันก็ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถทำตามความต้องการ เพราะสุดท้ายเราก็ล้วนทำตามหัวใจบอก และถึงแม้เราจะอยากจากไปมากแค่ไหน เราก็ยังรักเค้าจนถึงท้ายที่สุด
เรารู้สึกเหมือนต้องการใครสักคนเข้ามาเติมเต็มในส่วนที่เราขาดหาย เเต่นั่นเป็นไปไม่ได้เพราะทุกคนล้วนมีคนที่เรารักอยู่แล้ว เราควรถอยออกมาจากความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจน เรารู้ตัวเองดี ว่าการที่มีเค้าอยู่มันฉุดรั้งชีวิตยังไง แต่ภายในหัวใจมันก็กลับบอกว่า ชีวิตนี้คงอยู่ไม่ได้ถ้าหากปราศจากเค้าคนนั้น เราอยากจะบอกว่าเค้าคนนั้นไม่ใช่ทุกสิ่งของเรา เสียใจได้ก็เสียใจให้สุดแรง ปล่อยความรู้อึดอัดตอนนี้ให้หมดแล้วเวลาจะเป็นตัวเยียวยาให้จิตใจเราดีขึ้น ผ่านความรู้สึกเศร้าเสียใจไปให้ได้และเริ่มต้นใหม่เพื่อตัวของเราเอง เมื่อถึงเวลาคนที่รักเราจริงๆจากใจจริงจะมาหาเราอย่างแน่นอน^^
ดูหนังออนไลน์ เรื่องราวความสัมพันธ์รักสามเส้าของชายหนุ่มสามคน ย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยเรียน เมื่อ “เปอร์” เด็กใหม่มาดกวนย้ายเข้ามาในห้อง พร้อมกับสร้างความสัมพันธ์กับ “บอล” หนุ่มน้อยผู้เรียบร้อย ทำให้ “โฟกัส” เด็กเรียนอันดับหนึ่งของห้องผู้แอบมีใจให้กับบอล แอบเจ็บอยู่เงียบๆ แต่แล้วด้วยเหตุการณ์ความเข้าใจผิดบางอย่างก็ทำให้บอลกับเปอร์ไม่ได้ลงเอยกัน กลายเป็นโฟกัสที่เข้ามาดูแลหัวใจบอลแทน และคบกันยืดยาวจนเติบโต กระทั่งตัดสินใจจัดงานแต่งงานเล็กๆ กันขึ้น แต่แล้วเปอร์ก็มีโอกาสกลับเข้ามาในชีวิตของบอลอีกครั้ง แล้วครั้งนี้มันจะลงเอยเช่นไร ในเมื่ออีกไม่กี่วันก็จะถึงวันแต่งงานของบอลและโฟกัสแล้ว
หนังตัดสลับเล่าเรื่องไปมาระหว่างเหตุการณ์ในปัจจุบันช่วงเตรียมงานแต่งงานของบอลกับโฟกัส และช่วงวัยเรียนที่ปูพื้นความคิดความอ่านและความสัมพันธ์ของสามตัวละครหลัก ซึ่งเอาจริงๆ เราก็มองเห็นความตั้งใจและความพยายามถ่ายทอดบทบันทึกเรื่องราวแสนส่วนตัวของผู้กำกับอยู่ใน “ตรงกลางระหว่างรัก” นะ เพียงแต่พลังและความสามารถของนักแสดงมันยังพาเราไปไม่ถึง ยิ่งเมื่อเรื่องราวมันพึ่งพานักแสดงกลุ่มใหญ่ขนาดนี้ด้วยแล้ว (อย่างน้อยๆ ก็คือ 6 นักแสดง กับ 3 คาแร็คเตอร์หลักใน 2 ช่วงวัย) พอการแสดงมันไม่ไปด้วยกัน หรือทำให้เราเชื่อไม่ได้ มันก็เลยกลายเป็นบาดแผลขนาดใหญ่ โดยเฉพาะช่วงท้ายของเรื่องที่การระเบิดอารมณ์ของ 2 เหตุการณ์ ใน 2 ช่วงวัย พอการแสดงมันไปไม่ถึง มันก็ทำให้เราไม่เชื่อในการตัดสินใจของตัวละครไปในทันที
เป็นกำลังใจให้ผู้กำกับและทีมงาน “ตรงกลางระหว่างรัก” อย่างน้อยๆ การทำงานที่เรารัก อิน และเชื่อไปกับมัน ก็น่าจะเป็นความภาคภูมิใจที่ได้ทำนะ สำหรับใครที่อยากพิสูจน์ถึงสิ่งที่อยู่ “ตรงกลางระหว่างรัก” ด้วยตนเอง หนังยังมีรอบฉายอยู่นะ แต่ก็ต้องรีบไปดูด่วน เช็กรอบฉายได้ที่