รีวิวหนัง RAILWAY SLEEPERS หมอนรถไฟ

รถไฟเป็นภาพจำลองของชีวิต เป็นที่ที่คนแปลกหน้ามาพบกัน เส้นทางของเรามาซ้อนทับกันเมื่อเรามุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกันแต่ต่างจุดหมาย สมพจน์ ชิตเกษรพงศ์ (แฟนพันธุ์แท้ วอลท์ ดิสนีย์ และผู้กำกับสารคดีหมอนรถไฟ) รีวิวหนัง RAILWAY SLEEPERS หมอนรถไฟ นี่คือหนังไทยเรื่องแรกที่ได้รับการจัดจำหน่ายจาก Documentary Club ที่คัดสรรหนังสารคดีดี ๆ จากทั่วโลกมาให้เราชมเสมอ แฟนหนังค่ายนี้จึงไม่ควรพลาด นี่คือหนังที่ผู้กำกับใช้เวลากว่า 8 ปี จากอายุ 27 ปีจน 36 ปี

เพื่อเฝ้าถ่ายชีวิตคนบนรถไฟล่องเหนือลงใต้ เรียกว่าส่วนหนึ่งของชีวิตวัยที่มีพลังมากที่สุด เขาใช้ทุ่มให้กับหนังเรื่องนี้ทีเดียว คือหนังที่ได้รับคัดเลือกให้ไปฉายในเทศกาลหนังนานาชาติทั้ง เทศกาลหนังนานาชาติปูซาน เทศกาลหนังนานาชาติเบอร์ลิน เทศกาลหนังนานาชาติบางกอก และเทศกาลหนังสารคดีนานาชาติศาลายา ด้วย
รีวิวหนังไทย สมพจน์? ใคร? หมอนรถไฟ? หนังอะไร?
พูดชื่อ สมพจน์ ชิตเกษรพงศ์ ขึ้นมาคนดูหนังทั่วไปก็คงมีงง ๆ ครับ แต่ถ้าใครสายหนังทางเลือกหน่อยบอกว่าเขาคือ ผู้ช่วยให้เจ้าพ่อหนังอินดี้ไทยอย่าง เจ้ย-อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ก็อาจจะเริ่มมีจุดอ้างอิงให้อ๋อมากขึ้น แต่ถ้าเอาให้ใกล้ชิดคนทั่วไปที่สุดเลยก็ต้องแนะนำว่าเขาคือ สุดยอดแฟนพันธุ์แท้วอลท์ ดิสนีย์ ประจำปี 2001 นั่นเอง
หลังจากเป็นผู้ช่วยให้เจ้ยมาสักพักเขาก็เริ่มออกเดินทางในสายนักทำหนังของตนเอง โดยการไปเรียนต่อที่แคลิฟอร์เนีย และที่นี่เองหนังทีสิสที่เขาเลือกทำเพื่อจบ ความยาว 1 ชั่วโมง ชื่อเรื่อง Are We There Yet? “จะถึงหรือยัง” ที่ติดตามเล่าเรื่องชีวิตผู้คนบนรถไฟไทย ก็ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นให้หลังจากนั้นเขาได้มาสานต่อให้กลายเป็นหนังสารคดีเรื่อง หมอนรถไฟ Railway Sleepers โดยเฝ้าถ่ายชีวิตผู้คนบนรถไฟตั้งแต่เหนือจรดใต้ต่อไปจนรวมเวลาทั้งสิ้นกว่า 8 ปีทีเดียว
รีวิวหนัง RAILWAY SLEEPERS หมอนรถไฟ
ดูหนัง 4k หนังเรื่องนี้คือความธรรมดาที่แสนพิเศษ
แม้สมพจน์จะตั้งใจให้หนังเรื่องนี้สะท้อนภาพเบื้องลึกของสังคมไทย อย่างเช่น ชนชั้นของสังคมที่ผ่านการแบ่งชั้นของรถไฟที่สะดวกสบายจนถึงตามยถากรรมสุด ๆ หรือความแตกต่างของผู้คนที่ขึ้น ๆ ลง ๆ มีกิจกรรมบนรถไฟแตกต่างกันตามภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมในแต่ละภาคก็ตาม แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้ว หนังสารคดีเรื่องนี้ค่อนข้างปล่อยผู้ชมในการ คิดหรือเก็บเกี่ยว ความเข้าใจต่าง ๆ ด้วยตนเองเป็นส่วนมาก  เพราะหนังไม่มีบทบรรยายหรือโครงเรื่องใด ๆ ในการชี้นำเรานัก นอกจากภาพจากกล้องที่ถ่ายไปเรื่อย ๆ บนรถไฟ ตั้งแต่ภาคเหนือจรดภาคใต้ จากเช้าจนค่ำจนเช้าอีกวัน จากตื่นจนหลับจนตื่นอีกครั้ง ผู้คนหลากหลายอาชีพ หลายวัย หลายเพศ หลายวัฒนธรรมต่างหมุนเวียนขึ้นมาเป็นตัวเอกให้กล้องหนังจ้องมองอย่างไม่ขวยเขินเอียงอาย ซึ่งก็เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่สามารถบันทึกภาพที่เป็นธรรมชาติมาก ๆ มาได้ ทั้งที่คนไทยค่อนข้างระแวงกล้องพอสมควร (ผู้กำกับบอกว่ามีเพียงครั้งเดียวที่เกือบมีเรื่อง เพราะเขาไปถ่ายเด็กหนุ่มที่กำลังจีบสาวอยู่)
ด้วยเหตุการเล่าเรื่องแบบนี้เองที่ทำให้หนังเรียกร้องสมาธิจากผู้ชมพอสมควร ใครอ่อนแอก็แพ้ไปครับ มีสิทธิ์หัวถึงหมอนหลับคาโรงได้ง่าย ๆ เลยทีเดียว ตรงนี้คิดว่าผู้ชมต่างชาติน่าจะดูได้นานกว่าเพราะภาพต่าง ๆ บนรถไฟไทยนั้นมันแปลกประหลาดสุด ๆ เหมือนกันสำหรับคนที่ไม่เคยเห็น มันมีความหลากหลายแบบไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่ในพื้นที่เดียวกันได้ มันเป็นทั้งที่นอน ที่กิน ที่ปาร์ตี้ หรือเวทีคอนเสิร์ตก็ยังได้ แต่สำหรับคนไทยอาจจะคุ้นชินอยู่แล้วทำให้ผลอยไปได้แบบไม่รู้ตัว ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดอะไรนะครับ
แต่ที่ไม่อยากให้พลาดก็คือฉากสุดท้ายในหนัง ที่เป็นการเล่าเรื่องแบบหนังทั่วไปครั้งแรกเลย ถึงจะบอกแบบนั้นแต่มันก็ไม่ได้ธรรมดาเลยนะครับ เพราะนักแสดงฝรั่งที่มาเล่นในช่วงท้ายนี้ พูดไทยชัดปร๋อ ที่สำคัญพูดราวกับเป็นบุคคลในสมัยรัชกาลที่ 5 มาคุยกับตัวผู้กำกับด้วย โดยสมพจน์ได้เล่าว่าเขาอิงตัวละครนี้มาจากบันทึกของบุคคลที่มีชีวิตอยู่จริงเป็นวิศวกรฝรั่งในสมัยนั้น เขาจงใจใส่มาเพื่อทำการตกผลึกสารบางอย่าง ตรงนี้ไม่ขอเล่าบทสนทนาในฉากนี้แล้วกันครับ อยากให้ไปค้นหาความหมายกันเอง แต่อยากบอกแค่ว่ามันพิเศษจริง ๆ ครับ
ดูหนังออนไลน์ นี่อาจไม่ใช่หนังที่ถูกโฉลกกับทุกคนนะครับ ต้องมีใจรักสนใจในเรื่องราว และเคยชินกับหนังที่เรียกร้องความคิดและสมาธิของผู้ชมพอสมควรเลย แต่ถ้าใครถนัดอะไรแบบนี้ก็บอกเลยว่าหนังเรื่องนี้มีความพิเศษหลายอย่างที่ไม่ได้จะเจอกันง่าย ๆ ทั้งในหนังสารคดีไทย หรือแม้แต่หนังสารคดีจากประเทศไหนก็ตาม
ก่อนตีตั๋วดูหนังเรื่อง หมอนรถไฟ (Railway Sleepers) ผมมีโอกาสนั่งคุยกับผู้กำกับ โบ๊ต-สมพจน์ ชิตเกษรพงศ์ เขาเล่าว่าลงแรงแบกกล้อง Mini DV และงบประมาณพอใช้จ่ายขึ้นรถไฟไปกับ ภีม อุมารี ผู้ช่วย เพื่อเดินทางขึ้นรถไฟไปทั่วประเทศไทย โดยใช้เวลาบันทึกภาพยาวนานถึง 8 ปี บนเส้นทางจากเหนือล่องลงใต้ ย่างกรายสู่แดนอีสาน นั่งรถไฟมาทุกชั้น ตั้งแต่ชั้นหนึ่งยันชั้นสาม ก่อนสำเร็จออกมาเป็นหนังที่เดินทางฉายอวดโฉมตามเทศกาลหนังทั่วโลก โบ๊ตและภีมได้เห็นผู้คนหลากเพศ หลายช่วงวัย ต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนา และมีระดับชนชั้นมากมาย หนังเรื่องนี้จึงเป็นประสบการณ์ส่วนหนึ่งที่ผู้กำกับเลือกมานำเสนอให้เราได้ชมกันเพียงบางส่วน
รีวิวหนัง RAILWAY SLEEPERS หมอนรถไฟ
หมอนรถไฟ มีความยาวให้รับชมกันอย่างเต็มอิ่ม 102 นาที เมื่อนั่งชมในโรงหนัง ผู้ชมจะมีสถานะเหมือนเป็นผู้โดยสารคนหนึ่งที่นั่งดูเหตุการณ์จริงซึ่งเกิดขึ้นบนขบวนตลอดเวลา เรื่องที่ต้องชื่นชมมากๆ คือโบ๊ตบันทึกภาพเหตุการณ์ต่างๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ อาจเป็นเพราะเขาใช้เวลาทำความรู้จักกับคนบนตู้รถไฟ จนคุ้นเคยก่อนตั้งกล้องถ่ายวิดีโอไว้นิ่งๆ เราเลยได้เห็นอิริยาบถของการกิน นั่ง นอน เดิน ของผู้คนหลากมุมมอง เสมือนเป็นผู้ร่วมเหตุการณ์บนรถเที่ยวนั้นจริง
ดูหนังออนไลน์ 4k หนังเรื่องนี้ไม่ได้ติดตามถ่ายใครเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้น ถ้าถามว่าใครเป็นพระเอกของเรื่อง ผมคิดว่าคือช่วงเวลา ถ้าเราสังเกตเวลาตั้งแต่ต้นจนจบ จะพบว่าช่วงเวลาการเดินทางของรถไฟ เป็นตัวดำเนินเรื่องที่ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์
ระยะเวลาที่ว่าคือช่วง 2 วัน 2 คืน ตั้งแต่เช้า กลางวัน เย็น จนถึงกลางคืน คล้ายว่าเราผ่านเวลาจริงที่ถูกร่นด้วยการตัดต่อให้เล่าเรื่องได้อย่างกระชับที่สุด ฉะนั้นผมขอเตือนไว้ก่อนว่านี่ไม่ใช่สารคดีที่มีประเด็นชัดเจนอย่างที่คนคุ้นเคยกันทั่วไป แต่เป็นสารคดีซึ่งทำหน้าที่แทนสายตาของผู้เห็นภาพสิ่งตรงหน้าไปเรื่อยๆ และให้ประสบการณ์อีกทางเลือกกับคนดู

รีวิวหนัง RAILWAY SLEEPERS หมอนรถไฟ

ดูหนัง หนังของโบ๊ตนั้นแสนเรียบง่าย และด้วยความที่ไม่ได้วางเส้นเรื่องหรือกำหนดทิศทางให้คนดูมากนัก ผลลัพธ์ที่ได้ บางคนอาจผล็อยหลับไป แต่สำหรับผม แม้หนังเรื่องนี้จะเนิบนิ่ง ไม่มีจุดไคลแมกซ์ทำหน้าที่กระชากอารมณ์คนดูอย่างหนังทั่วไป แต่แทนที่ด้วยการแต่งแต้มสีสันแห่งชีวิตจริงที่น่าสนใจอยู่เป็นระยะ เช่น มุกตลกใสซื่อที่คนพูดไม่ได้ตั้งใจให้ตลก การขายของต่างๆ บนขบวน ความสนุกของวงเหล้าบนรถไฟในสมัยที่ยังดื่มกินบนรถไฟได้ หรือการทะเลาะเบาะแว้งที่เกิดจากการแย่งที่นั่งรถไฟฟรี เป็นต้น
ฟุตเทจที่บันทึกมา 8 ปีเหล่านี้ถูกคัดสรรออกมาเล่าให้กลายเป็นเนื้อเดียวภายในระยะเวลาที่โบ๊ตกำหนดไว้ได้อย่างกลมกลืน ถ้าเราดูไปเฉยๆ แล้วไม่คิดตาม หนังเรื่องนี้จะธรรมดามาก ในทางตรงกันข้าม ถ้าคุณช่างคิดและช่างสังเกต หนังเรื่องนี้จะเต็มไปด้วยมุมมองและของดีซ่อนเอาไว้ระหว่างทาง ทั้งคำพูดและการกระทำของคนบนรถไฟ สิ่งเหล่านี้เป็นหลักฐานชั้นดีที่สะท้อนโครงสร้างวิธีคิด ความเชื่อ และระบบค่านิยมแบบไทยๆ ไว้ บางฉากเรียกเสียงหัวเราะดังๆ บางฉากเราขำแห้งๆ อย่างจนมุมในวัฒนธรรมแบบไทยๆ บางทีนี่อาจเป็นภาพสะท้อนความหย่อนยานของสังคม จนบางเรื่องกลายเป็นปัญหาเรื้อรังยากต่อการแก้ไข
รีวิวหนัง RAILWAY SLEEPERS หมอนรถไฟ
เมื่อรถไฟกำลังมุ่งหน้าไปที่ไหนสักแห่งเรื่อยๆ (เราจะไม่มีทางรู้ว่ารถไฟไปไหนบ้าง เพราะโบ๊ตเอาฟุตเทจจากทุกสถานที่ที่เขาถ่ายมารวมกันเป็นการเล่าเรื่องตามลำดับเวลาของหนัง) ขณะนั่งดูเพลินๆ หนังจะพาเราฟุ้งฝันไปถึงซีนจบ ที่จะตลบเสื่อที่คุณนั่งดูนิ่งๆ มาทั้งเรื่อง เป็นการขมวดและแทรกวิธีคิดอันเกินคาดเดา พาเราย้อนไปสำรวจรากตัวตนของสังคมผ่านรถไฟ ซึ่งจะทำให้คุณต้องกลับมาทบทวนประวัติศาสตร์ของระบบขนส่งสาธารณะลำดับแรกของเราที่ถูกแช่แข็งมาหลายปี (ปีนี้รถไฟไทยมีอายุครบรอบ 120 ปี) ซีนจบเป็นซีนที่ผมชื่นชอบมากที่สุด แม้จะยังคงงงงันเหมือนอยู่ในฝัน แต่นั่นแหละ เราทุกคนกำลังนั่งรถไฟสายที่ไม่รู้ทิศทางขบวนนี้ไปด้วยกัน อยู่ที่ว่าทุกคนจะใช้โอกาสนี้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ หรือเพียงแค่ปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไป แล้วต่างคนต่างแยกย้ายเมื่อได้สิ่งที่ตัวเองต้องการจากปลายทางมาครอบครองแล้ว
 ในยุคของการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ความเป็นสมัยใหม่ การเกิดขึ้นของรถไฟที่ทอดรางยาวเชื่อมต่อการเดินทางเคลื่อนย้ายทั้งผู้คนและผลผลิตทางเศรษฐกิจ เป็นปัจจัยที่สำคัญมากในการผลักดันความเจริญของชาติบ้านเมือง หนังเรื่องนี้ได้เท้าความถึงวันที่รถไฟไทยได้เปิดตัวในสมัยของ ร.5 และกระโดดข้ามเวลามาสู่ภาพฟุตเทจวิถีชีวิตบนรถไฟไทยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา หนังบันทึกภาพและเสียงชีวิตที่สัญจรไปมาบนรถไฟในปัจจุบันคู่ขนานกับการเดินทางทางประวัติศาสตร์ของรถไฟ ในวันที่มันไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ของความทันสมัย ความเจริญรุ่งเรืองอีกต่อไปแล้ว
  ตลอดทั้งเรื่องของหนัง คือภาพฟุตเทจชีวิตบนรถไฟที่นำมาตัดสลับรวมกัน คนบนรถไฟในที่แตกต่างกันทั้งชนชั้นเศรษฐกิจ ภูมิลำเนา วัฒนธรรม และสถานะทางสังคมอื่นๆ แทรกด้วยประวัติศาสตร์ของรถไฟที่ดำเนินยาวนานมาจนเป็นระบบวิธีการทำงานของการรถไฟในปัจจุบัน สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อหนังได้หยิบประวัติศาสตร์ในวันที่รถไฟเคยเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นสมัยใหม่ เป็นความหวังของการพัฒนาก้าวใหญ่ของเศรษฐกิจและการหมุนเวียนความเจริญไปตามที่รางรถไฟที่แทรกไปถึง มาในปัจจุบัน พื้นที่บนรถไฟกลับเป็นพื้นที่ที่ถึงแม้จะเคลื่อนที่ตลอดเวลา แต่กลับดูเป็นพื้นที่ที่ถูกแช่แข็ง กิจวัตรซ้ำเดิม เป็นพื้นที่ของความเชื่องช้า ที่ดูจะไม่ได้ขับเคลื่อนอะไรที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าตัวเลือกทางการสัญจรไปมาที่จำเป็นเพียงตัวเลือกเดียว สำหรับบางชนชั้นเศรษฐกิจที่จะเข้าถึงได้
  ว่ากันว่าหนึ่งในคุณสมบัติของการเป็นนักเล่าเรื่องถ่ายทอดเรื่องราวได้ดี คือการมีสายตาที่ละเอียดอ่อนต่อชีวิต มองเห็นโมเมนท์เฉพาะตัวที่จะเกิดขึ้นได้ประจวบเหมาะเจาะ ในจังหวะที่พื้นที่และเวลาบางอย่างได้มาบรรจบกัน ภาพฟุตเทจในหนังเองก็ยืนยันถึงความเฉียบคมละเอียดอ่อนของตัวผู้กำกับ ซึ่งมีสายตาที่ไม่ธรรมดา ทั้งยังมีความเซอร์ไพรส์เมื่อหนังที่ดูมีความจริงจังสูงตลอดทั้งเรื่องกลับหยอดอารมณ์ขันที่น่าฉงนฉงาย คาใจ และน่าขบคิดต่อในตอนท้าย