รีวิวหนัง กัดกระชากเกรียน ZOMBIE FIGHTERS
ดูหนังซอมบี้ฝรั่งมาหลายเรื่อง คราวนี้ถึงคราวมานั่งดูซอมบี้ไทยบ้าง แต่ดูไปดูมา ทำไมถึงกลายเป็นได้ฟีล “บ้านผีปอป” ไปซะงั้น (555) หนัง “กัดกระชากเกรียน” ของ พชร์ อานนท์ (พี่เขาเปลี่ยนวิธีสะกดชื่อตัวเอง อีกล่ะ) รีวิวหนัง กัดกระชากเกรียน ZOMBIE FIGHTERS ซึ่งไม่ต้องเดาทางหนัง ก็คงจะพอคาดแนวของพี่เขาออกอยู่ เอาเป็นว่า เรามาฟังเรื่องย่อ “กัดกระชากเกรียน” กันดีกว่า
เรื่องเริ่มขึ้นที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งซึ่งถูกรัฐบาลสั่งปิดตายพร้อมให้ทหารเข้ามาดูแลชนิดที่เรียกว่าไม่ให้ใครเข้าใครออกเด็ดขาด เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก 1 ปีผ่านไป โดยที่ไม่มีคนนอกรู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นที่ โรงพยาบาลแห่งนี้ และทำไมถึงต้องโดนปิด ทำให้นักเรียนมัธยมปลายกลุ่มหนึ่ง ต้องการบุกไปพิสูจน์ความจริง โดยหนึ่งในนักเรียนกลุ่มนี้ พ่อกับแม่เขาก็ได้เสียชีวิตอย่างปริศนาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ในช่วงเวลาที่โรงพยาบาลโดนสั่งปิดด้วย เมื่อพวกเขาบุกเข้าไปพิสูจน์ความจริงจึงพบว่า โรงพยาบาลแห่งนี้ ล้วนเต็มไปด้วย ซอมบี้ ผีดิบอาละวาด กัดกินคน พวกเขาจึงหนีตาย กันอลหม่าน เท่านั้นยังไม่พอ เขายังโทรไปเรียก “แลมโบ” ซึ่งเป็นพี่ชายของเขา และพี่ชายก็พากลุ่มเพื่อนๆ ตามกันมาเพื่อช่วยน้องชายที่ติดอยู่ในวงล้อมซอมบี้ที่ โรงพยาบาล แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า แทนที่จะมาช่วยน้องชายและเพื่อนๆ กลับกลายเป็นต้องมาร่วมวิ่งหนีและต่อสู้กับซอมบี้ที่หิวโหยอีก ท้ายสุด มีบางคนที่โดนซอมบี้กัด บางคนรอด สรุปไปดูเองว่ารอดมากี่คน และจบได้หักมุม (แบบที่โคตรจะไม่เข้าท่า) ได้ขนาดไหน

รีวิวหนังไทย สำหรับคะแนน รีวิวหนัง กัดกระชากเกรียน ในส่วนของการดำเนินเรื่อง ผมให้ 6/10 แม้จะตื่นเต้น สไตล์วิ่งหนีซอมบี้ แบบมีลุ้นใจหายใจคว่ำเกือบจะทั้งเรื่อง แต่เป็นการหนีซอมบี้ที่มีกลิ่นอายของ บ้านผีปอป มากเกินไป คือวิ่งกันไปวิ่งกันมา ยิ่งตอนกลางๆ เรื่อง วิ่งเยอะจนคนดูอย่างผมเริ่มรำคาญจนเกือบหลับ (คือแอบนึกในใจว่า เมิงจะวิ่งไปวิ่งมากันอีกนานไหมวะ 555) นอกจากนั้น ความลื่นไหลและความเป็นเหตุเป็นผลของเรื่อง ถือว่าไม่ผ่าน แม้ว่าฉากท้ายๆ ของหนังพยายามจะบิ้วให้ซึ้ง แต่การปูเรื่องให้เห็นที่มาที่ไปก่อนหน้านี้ยังไม่ดีพอที่จะทำให้อิน ยิ่งฉากตอนจบนี่สุดท้ายนี่คือ หลุดธีมหนังไปเยอะ เข้าใจว่าพยายามจะยำให้หนังออกแนว Super Hero เพื่อให้เข้ากับชื่อเรื่องที่เป็นภาษาอังกฤษว่า Zombie Fighters แต่มันดูขัดตามาก สรุปหากจะดูเอาสนุก เอาขำ แบบไม่คิดไรมาก ก็พอจะกล้อมแกล้มเสียตังไปดูได้อยู่
สำหรับในส่วนของดารานักแสดงวัยรุ่นทั้งหลาย ก็หน้าตาดีๆ กันทั้งนั้น ตามสไตล์ พี่พชร์ (คัดมากับมือ) แต่ฝีมือการแสดง ไม่ถึงกับดี แต่ก็ไม่ได้แย่ไรมาก จึงให้คะแนนในส่วนนี้ที่ 7/10 สำหรับความสนุกสนานของหนัง ถึงจะเป็นหนังซอมบี้สยองขวัญแต่ความน่ากลัวก็ไม่ได้มากนัก ออกจะไปทางตลก ไร้สาระและน่าเบื่อในทางช่วงด้วยซ้ำ แต่ก็พอมีให้ฮา ให้ขำ ได้อยู่บ้างๆ นิดๆ หน่อยๆ อย่างไรก็ตามสำหรับคนที่เคยดูหนังแนวซอมบี้ของฝรั่งหรือเกาหลีมาแล้ว ก็คงจะเฉยๆ ชาๆ กับมุกซอมบี้แบบไทยๆ ของหนังเรื่องนี้ เพราะไม่ได้มีอะไรแตกต่างหรือแหวกแนวโดดเด่นออกจากของฝรั่งเลย สรุปคะแนน รีวิวหนัง กัดกระชากเกรียน ผมให้ที่ 6/10 เป็นหนังไทย สไตล์พี่พชร์ อานนท์ คือดูขำๆ มีเด็กหล่อๆ ใสๆ มาวิ่งให้เราดูเป็นกลุ่มๆ มาเตะมาต่อยผีให้เราดู ดูแบบเพลินๆ ไม่ต้องใช้สมองขบคิดตามให้ปวดหัว ดูได้ไม่ถึงกับเสียดายตัง แต่ขอย้ำว่า “ถ้าไม่ได้เป็นแฟนหนังสไตล์พี่พชร์ อานนท์ ผมแนะนำให้เก็บตังของท่านไว้ดูเรื่องอื่นเถอะครับ”
นี่คือหนังที่แฟนคลับเดิม ๆ หนังของเฮียพชร์จะผิดหวัง ได้โปรดเอาความเลอะเรื้อนฮาห่ามกลับมาเอาใจแฟนสายฮาร์ดคอร์เถิดครับเฮีย
หนังเล่ารัวรั่วเอามันอย่างกับปืนกล แต่เป็นปืนกลของคนเมาที่ตั้งใจยิงขึ้นฟ้า คือยิงแบบไม่มีเหตุผลว่าทำไมต้องยิง และไม่สนใจผลที่ตามมาด้วย (แต่โคตรมีความตั้งใจเหนี่ยวไกแต่ละนัดเน้น ๆ เลยด้วยนะ) กระนั้นมันก็เป็นหนังที่ดูกับเพื่อน ๆ เอาแซวเอารั่วก็นัวอยู่นะ

หนังเรื่องนี้คือ ผลงานการกำกับของผู้กำกับที่มีผลงานเข้าโรงต่อเนื่องมากที่สุดในประเทศไทย นามของเขาเป็นที่รู้จักกว่าผู้กำกับที่ได้รางวัลสุพรรณหงส์ปีไหน ๆ เสียอีก ผลงานของเขาก็ใช่เล่นนะครับ เรียกว่าเป็นคนที่ทำหนังเฉลี่ยต่อปีน่าจะมากสุดแล้ว คือในปีหนึ่ง ๆ ต้องมีหนังแกในโรงเฉลี่ย 2 เรื่องเลยทีเดียว ผู้กำกับหนังไทยยุคนี้ยังมีใครทำได้บ้างล่ะ (ปี 2557 แกพีคสุดล่อไป 4 เรื่อง หลังจากนั้นก็ 2 เรื่องบ้าง 3 เรื่องบ้าง)
ผลงานแกมีทั้ง แนวจริงจังอย่าง 18 ฝนคนอันตราย, เพื่อน…กูรักมึงว่ะ, ตายโหง จนแนวเอาฮาด้วยตลกรุ่นใหญ่อย่าง ปล้นนะยะ, หอแต๋วแตก เอาฮาด้วยตลกรุ่นใหม่เอาใจวัยรุ่นอย่าง หลวงพี่แจ๊ส 4G, 888 แรงทะลุนรก และเอามันด้วยนักแสดงวัยรุ่นอย่าง แต๋วเตะตีนระเบิด, ม.6/5 ปากหมาท้าผี, วัยเป้งง นักเลงขาสั้น คือพี่แกเป็นคนที่ได้ทดลองทำหนังหลากแนวที่สุดคนหนึ่งแล้วล่ะนะ
ดูหนังออนไลน์ หอแต๋วแตก
เชื่อว่าแฟนสายโหดของพชร์น่าจะเป็นกลุ่มที่ชื่นชอบหนังอย่าง หอแต๋วแตก และ หลวงพี่แจ๊ส 4G ดังนั้นขอแสดงความเสียใจด้วยฮะ เพราะกัดกระชากเกรียนเป็นหนังกลุ่ม ม.6/5ฯ และวัยเป้งฯ เสียมากกว่า ทั้งที่ตั้งแต่แกมาใช้ชื่อค่าย มูฟวี่ฮีโร่ นี่ หนังแกจะมาสายหนังพี่แจ๊สทั้งนั้นเลย แถมที่สำคัญคือหนังเรื่องนี้ดูแกตั้งใจพิถีพิถันมาก (ตามศักยภาพการทำหนังดีของแกจะอำนวยนะ)
ดังนั้นเสียงฮาเลยจะพร่อง แต่สถานการณ์ไล่บี้กลุ่มตัวเอกนี่ไม่มีให้พักหายใจเลย (อันนี้วัดจากแฟนคลับแกที่นั่งใกล้ ๆ ผมนะ สังเกตเสียงหัวเราะและการสะดุ้งของพวกเธอประกอบการให้คุณค่าหนังเฮียพชร์ – คือไม่สามารถใช้เกณฑ์ตัวเองวัดให้จริง ๆ) เรียกว่าเป็นหนังซอมบี้ที่เทียบเรื่องจังหวะพยายามกดดันคนดูอย่างเดียวนี่พอ ๆ กับ Train to Busan ของเกาหลีเลยทีเดียว เหนือคาดมาก
ด้วยความตั้งใจจะจริงจังแต่ฝืนธรรมชาติรั่ว ๆ ของตัวหนังเองไม่ไหว หนังเลยจริงจังแบบกะพร่องกะแพร่ง คือมีทั้งดราม่าระหว่างตัวละครในแบบเพื่อน/พี่น้อง/พ่อแม่ลูก/คนรัก มีทั้งปริศนาความน่าสงสัยของเบื้องหลังทหารที่เข้ามาควบคุม มีทั้งความรั่วของตัวละครและซอมบี้

ดูหนัง ดราม่าคนรัก
บทจึงเป็นแกนหลักที่ต้องทำหน้าที่คุมนักแสดงให้เล่นไปแบบที่หนังสามารถจบได้ จนบางทีเราก็แปลกใจว่า เฮ้ยไม่มีใครฉุกใจทักตรรกะในหนังเรื่องนี้ตอนแสดงบ้างเลยเหรอ? หนังเปิดเรื่องมาแบบไม่ปูพื้นเพตัวละครอะไรทั้งสิ้น ให้ตัวละครอยากเข้าไปในโรงพยาบาลร้างแถวบ้านที่ถูกทหารสั่งปิด แล้วก็ค่อย ๆ เพิ่มรายละเอียดเข้าไป ส่วนพวกนักแสดงก็เหมือนเล่นแบบเหมือนไม่เคยได้อ่านบทหนังทั้งเล่ม ถ่ายวันแรกก็อ่านบทหน้าแรกเอา ไม่ต้องไปสนผลกระทบหลังจากนั้นค่อยไปว่ากันวันที่ถ่าย ทำให้การแสดงล้นผิดกับตรรกะที่ใส่มาภายหลังอย่างสิ้นเชิง
รีวิวหนัง กัดกระชากเกรียน ZOMBIE FIGHTERS
เปรียบไปมันเลยเหมือนคนอยากยิงปืนขึ้นฟ้าเพราะแค่อยากยิง ยิงแล้วก็รัว ๆ แบบไม่พักหายใจ (โดยก็ยังไม่รู้ว่าทำไปทำไม) จากนั้นค่อยเผยว่าอ่อมันมีงานแต่งนะเฮ้ยเขาเลยยิงปืนฉลอง แล้วหนังก็ยิงปืนต่อไปแบบไม่สนใจว่าลูกกระสุนจะไปกระทบบทส่วนไหนต่อไปอีก ไว้มันลงหัวใครค่อยว่ากัน

แต่ข้อดีของมันก็มีนะคือ เดาไม่ถูก เงื่อนไขซอมบี้นี่ดักทางไม่ได้เลย ดูหนังออนไลน์ 4k อย่างใน Train to Busan เราเห็นจุดอ่อนซอมบี้คือเรื่องการมองเห็น อย่างในหนังฝรั่งคือไวต่อเสียงและกลิ่น มาสายอินดี้หน่อยแค่คนเดินเลียนแบบซอมบี้มันก็แยกไม่ออกก็มี หรืออย่างใน Warm Body มันก็มีแบบซอมบี้ที่กึ่งมนุษย์มีความคิดแบบมนุษย์อยู่บนเงื่อนไขบางอย่าง
แต่กับ กัดกระชากเกรียน ซอมบี้มันน่ากลัวกว่ามาก ๆ ๆ ๆ เพราะมันอาร์ตตัวพ่อสุด ๆ บางทีมันแค่อยากวิ่งไปรอบ ๆ เรา บางทีมันเดินผ่านก็ไม่สนใจเสียงตัวละครคุยดังตะโกนโวยวาย บางทีมันเห็นคนทำท่าเลียนแบบมันก็ไม่สนใจแล้ว หรือบางทีแค่คนดันประตูไว้คนเดียว พวกมันทั้งฝูงก็พังเข้ามาไม่ได้ แต่ทั้งหมดก็อาจจะเปลี่ยนเงื่อนไขได้โดยไม่มีอะไรต้องบอกล่วงหน้า มันอาจจะอยากจู่โจมตอนไหนก็ได้ มันอยากจะพังประตูที่คนดันเป็นสี่ห้าคนก็ได้ (ทั้งที่คนเดียวมันเคยดันไม่ผ่าน)
ยุดยื้อกันน่าดู แต่บางทีเอาคนเดียวดันก็เอาอยู่แล้วนะ
มันจะมีสติคิดได้แบบมนุษย์มาช่วยคนที่กำลังหนีหรือจะคลั่งขึ้นมาเฉย ๆ ก็ได้ บางทีมันวิ่งทะลุกระจกเป็นจาพนมได้ แต่ก็กลับผ่านผ้าม่านธรรมดา ๆ ไปไม่ได้ คือมันมีทั้งสไตล์หนังซอมบี้โหด ๆ ของฝรั่ง ผสมปอบหยิบโก๊ะๆในบ้านผีปอบ ในสถานการณ์เดียวกัน แล้วแต่สุ่มว่าตัวละครจะไปเจอซอมบี้ประเภทไหนเอา
เปรียบง่ายๆ ซอมบี้เรื่องนี้มันคือแมลงสาบนั่นล่ะ เดาไม่ได้ เชื่อไรไม่ได้เลย น่ากลัวไหมล่ะ!

ใช่จ้ะ ผีทั้งฝูงผ่านผ้าม่านกั้นเตียงคนไข้นั่นไปไม่ได้นะจ๊ะ
เหนือความคาดเดาที่สาม – หรือหนังจะมีสาระซ่อนไว้มากกว่าที่คิด
ใครคิดว่าหนังมันไร้สาระไป อยากดูหนังแบบมีสัญญะ ต้องตีความนัยยะซ่อน ดูหนัง 4k มันก็ดูให้เป็นแบบนั้นได้นะ เริ่มตั้งแต่บทบาททหารที่ใส่มาตั้งแต่ต้นเรื่อง คือเข้ามาควบคุมสถานการณ์ผิดปกติของโรคระบาดในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งโดยที่คนป่วยและไม่ป่วยไม่ทันตั้งตัว และยังไม่มีคำอธิบายให้มากนักด้วย ก่อนจะกลายเป็นว่าทหารที่น่าจะช่วยเหลือทุกคน ก็ยังติดเชื้อและกลายเป็นสิ่งที่พวกเขาอยากกำจัดทิ้งเสียเอง สุดท้ายตัวหัวหน้าทหารก็คอร์รัปชั่นสะสมวัคซีนบรรเทาอาการติดเชื้อไว้เองคนเดียว อารมณ์อิงไปการเมืองประเทศหนึ่งได้นะ คุ้น ๆ มั้ยล่ะ

หรือจะมองในเชิงวิเคราะห์ตัวผู้กำกับเองก็ได้เหมือนกัน เพราะเรามีความรู้สึกว่า พี่พชร์ได้ใส่ตัวเองลงไปที่ตัวละครหนึ่งในหนัง ชื่อคูเปอร์ (ตัวละครในเรื่องใช้ชื่อรถหลายตัว) ตัวละครนี้ดูเหมือนพิการทางปัญญา แต่กลับเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยทุกคนให้ผ่านพ้นสถานการณ์คับขันต่าง ๆ มาได้ตลอด ถ้าในเรื่องจะมีฮีโร่สักคนก็คงเป็นคูเปอร์นี่ล่ะ แต่คูเปอร์เองก็เป็นคนที่รู้สึกขาดความรักง่ายชอบอ้อนพี่ชายให้เอาใจเสมอ ตัวละครนี้จึงไม่สมบูรณ์แบบทั้งกายและใจ

มันอาจเป็นความรู้สึกลึก ๆ ของพชร์ที่น้อยใจต่อคำครหาหนังของเขาที่หลายเรื่องเขาก็ตั้งใจทำมาก ๆ นะ และเขาเองก็อาจยอมรับอยู่ลึก ๆ ว่าตัวเองไม่ได้เก่งฉกาจมีความสามารถการทำหนังยอดเยี่ยมเท่าใคร ๆ แต่แล้วยังไงล่ะ ในสถานการณ์ที่วงการหนังไทยซบเซาหนัก ๆ ขนาดนี้ เขาที่ไม่สมบูรณ์แบบนี่ไงล่ะที่เป็นฮีโร่พยายามฉุดคนดูหนังไทยให้เข้าโรงได้มากมาย (ค่ายมูฟวี่ฮีโร่ของเขาอาจตั้งชื่อมาเพราะเหตุนี้) และเป็นเขาอีกนั่นล่ะที่ทำให้เกิดหนังซอมบี้แบบไทย ๆ ให้คนไทยได้มีอย่างประเทศอื่น ๆ เขา อย่างในตอนหนึ่งของหนังตัวละครยังพูดเองเลยว่า ซอมบี้เกาหลีก็มีได้ ญี่ปุ่นก็มีได้ ทำไมเมืองไทยจะมีซอมบี้ไม่ได้ล่ะ! ซึ่งว่ากันตามจริงก็อาจถูกเลยล่ะถ้าพชร์ไม่ทำเรื่องนี้ เราจะมีหนังไทยซอมบี้แนวฝรั่งแบบนี้ให้ดูเหรอ?