รีวิวหนัง หลวงพี่แจ๊ส 5G

หลวงพี่แจ๊ส 5G เป็นภาพยนตร์ตลกธรรมะที่เล่าเรื่องของหลวงพี่แจ๊สที่ออกไปธุดงค์อยู่ต่างจังหวัดกว่า 2 ปี ก่อนที่หลวงพี่จะต้องมาพัวพันกับการพยายามตามหาพ่อให้สามเณรที่มีคนมาฝากเลี้ยงไว้ตั้งแต่เกิดในวัดต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง หลวงพี่แจ๊สและลูกศิษย์ทั้งสองพร้อมสามเณรจึงต้องเข้ากรุงเทพอีกครั้ง ก่อนจะพบเรื่องราววุ่นวายมากมายรอบตัวเต็มไปหมด รีวิวหนัง หลวงพี่แจ๊ส 5G
    การเล่าเรื่องสำหรับเรื่องนี้ผมก็ใช้คำนิยามเดิมจากภาคที่แล้วแหละครับ ต้องเรียกว่าเป็นภาพยนตร์แบบ “ตลกคาเฟ่ต่อฉาก” คือมีอะไรก็ใส่มาเพื่อหวังแก่ความสนุกเป็นหลัก (สนุกหรือไม่สนุกก็อีกเรื่อง) ใจกลางเรื่องจึงค่อนข้างกลวง แม้มีความตั้งใจพูดหลักธรรมคำสอนที่ดีอยู่บ้าง เนื้อหาแซะสังคมก็มีความทำงานดีอยู่ แต่การเล่าเรื่องที่เป๋ไปมาหลายรอบก็ทำให้สิ่งที่ต้องการสอนจืดจางลงมากจนเกือบจะไร้ความทรงจำดีๆของเรื่องนี้ไป เหมือนผมจะจำได้ว่าภาคที่แล้วจะมีแก่นเรื่องที่แข็งแรงกว่านี้ แต่ภาคนี้กลับดูประดักประเดิดล่องลอยจับต้องสาระไม่ได้ไปหมด เลยทำให้ภาคนี้น่าผิดหวังกว่าภาคแรกเสียอีก

    มุขตลกพอมีทำงานบ้าง เพราะแน่นอนว่าจำนวนฉากที่มีมากมายจะไม่ให้เราขำเลยสักมุขก็ยากเกิน แต่ก็เพราะจำนวนฉากที่มีมากมายแล้วมุขที่มีคุณภาพจริงๆค่อนข้างน้อย มุขหลายมุขค่อนข้างเก่า ก็เลยทำให้เป็นหนังตลกที่เหมือนทำมายิ้มๆมากกว่าจะให้ขำก๊ากทั้งเรื่อง แล้วยิ่งเจอการตัดต่อที่ไม่เข้าร่องเข้ารอยให้ถูกจังหวะเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้มุขตลกของหนังแต่ละมุขดูน่าเสียดายมาก เรารู้สึกว่ามันควรจะขำกว่านี้ถ้าจังหวะมันมาถูกต้องกว่านี้นะ รีวิวหนังไทย
    สิ่งหนึ่งที่ผมแปลกใจก็คือมีฉากเด็ดที่เห็นในตัวอย่างแล้วหายไปหลายฉากอยู่พอได้ฉายจริง แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันอาจแอบอยู่ในช่วงเครดิตหรือเปล่า (ไม่ได้ชม.. ติดธุระด่วน ขอภัยจ้า) และถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริงก็หมายความว่าฉากเหล่านั้นล้วนเป็นฉากที่ทำเอาสนุกโดยไม่ดึงเข้าใจกลางสำคัญของเรื่องเลย ทั้งๆที่หลายฉากในเรื่องก็ไม่ได้ดึงเข้าใจความสำคัญของเรื่องด้วยอีก… น่าเสียดายจริงๆครับ
รีวิวหนัง หลวงพี่แจ๊ส 5G
    โปรดัคชั่นโดยรวมสำหรับเรื่องนี้ก็ต้องบอกง่ายๆครับว่านี่คือหนังของ “พชร์ อานนท์” เรื่องนึงที่คุณต้องยอมรับคือภาพยนตร์ของเขามักมาด้วยงานโปรดัคชั่นที่ค่อนข้างแพงเสมอ ไม่ว่าจะเป็นด้วยเสื้อผ้าหน้าผมของตัวละครหลายตัวที่เปลี่ยนอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นจำนวนฉากในภาพยนตร์ที่มากมายล้นเหลือ ดารานำตลกมากมายคับคั่ง และไม่ว่าจะด้วยจำนวนตัวประกอบในเรื่องที่มากเกินกว่าร้อยคน พร้อมด้วยการพยายามจัดและสรรหาฉากต่างๆที่หวือหวาน่าชม(และน่าประหลาด)อยู่ตลอด อะไรหลายอย่างทำให้ยืนยันได้ว่านี่ไม่ใช่หนังถูกๆแน่นอนในด้านโปรดัคชั่น (แต่มันใช้เงินเพื่อการเล่าเรื่องได้คุ้มหรือเปล่าก็อีกเรื่องหนึ่ง)
    และหนังก็มีเรื่องสุดยอดอย่างหนึ่งที่ผมชอบมากเป็นการส่วนตัว คือผมชอบเวลาภาพยนตร์มีการใช้โดรนบินถ่ายจากที่สูง โดยเฉพาะฉากที่ถ่ายกันกลางเกาะกลางทะเลนั้นสวยงามมาก เป็นมุมที่คุณจะไม่ได้เห็นง่ายๆในหนังไทย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ แต่ก็แอบมีน่าเสียดายนิดหน่อยตรงบางทีหนังก็ใช้มากเกินไป ใช้ล้น ใช้จนฉากที่น่าจดจำหลายฉากค่อยๆดร็อปและลดความน่าสนใจไปจนเกือบหมดเมื่อถึงตอนจบเรื่อง…น่าเสียดาย
    อีกอย่างหนึ่งที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้ก็คือฉากการเดินทางไปฝรั่งเศส ที่คุณเห็นมาแล้วในตัวอย่างภาพยนตร์… โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ชอบที่ฉากนี้ที่มีการเปลี่ยนกล้องมาเป็นฟอร์แมตเล็ก ทำให้ภาพไม่สวยงาม และดูเหมือนจะไม่สามารถจัดการอะไรได้แม้แต่เรื่องมุมภาพ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามมันก็ทำให้งานคุณภาพของงานภาพที่ทำมาตลอดเรื่องถูกลดทอนค่อนข้างหนัก และไม่น่าจดจำเอาซะเลย ทั้งๆที่อุตส่าห์เดินทางไปถึงเมืองนอกแท้ๆ
เป็นปีทืี่สามติดต่อเข้าไปแล้ว ที่หนังจากค่ายFilmguru ของพจน์ อานนท์จะเข้าชนโรงในวีคก่อนเข้าช่วงเทศกาลแห่งความสุขของคนไทยอย่าง สงกรานต์ ( หลวงพี่แจ๊ส 4G , กัดกระชากเกรียน ) ซึ่งปีนี้ก็มาถึงคิวหนังพระที่ตลกที่สุดในโลก หลวงพี่แจ๊ส 5g
โดย หลวงพี่แจ๊ส 5g จะเป็นเนื้อเรื่องที่ต่อจากภาค 4G แบบที่ยังคงใช้นักแสดงชุดเดิมอย่าง แจ๊ส ชวนชื่น พร้อมด้วย อัครัช จิตตะศิริ และ คุณาธิป ปิ่นประดับ เป็นดั้งตัวแสดงนำ ซึ่งเรื่องราวในภาคนี้ จะเล่าเรื่องภารกิจครั้งใหม่ของหลวงพี่แจ๊สที่จะต้องนำเณรน้อยเข้ามาหาพ่อแม่ของเขาที่กรุงเทพ จนเกิดมาเป็นเรื่องฮาภายในเรื่อง

รีวิวหนัง หลวงพี่แจ๊ส 5G

ใครหลายคนอาจจะบอกว่างานหนังของผู้กำกับ พจน์ อานนท์ เป็นหนังที่ไม่ควรจะเป็นหนังสำหรับการฉายโรงภาพยนตร์ แต่หากใครที่ติดตามงานของแกจริงๆ ก็คงต้องยอมรับอย่างหนึ่ง ว่างานแต่ละงานของคุณพจน์ อานนท์ เป็นภาพยนตร์ที่มีการกำกับภาพได้ค่อยข้างสวยมากในระดับหนังไทยเรื่องหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้ก็ถือได้ว่าทำได้ค่อยข้างดีมากๆ
ฉากเปิดเรื่องช่วง 10-15 นาทีแรก ทำได้ดีและภาพออกมาสวยจริงๆ ส่วนหลังจากนั้น ไปจนถึงจบเรื่อง อาจไม่ได้ดีเด่อะไร แต่มันก็ดีกว่ามากๆ หากเทียบกับหนังไทยก่อนหน้านี้ที่ผมได้ชมมา
หนังงานกำกับพจน์อานนท์ ในช่วงระยะนี้ ที่ผมรู้สึกว่าสิ่งที่โดดเด่นเป็นสง่ากว่าหนังไทยเรื่องอืนๆ ก็คงหนีไม่พ้นการจิกกัดสังคมที่ใช้ล้อข่าวได้ค่อนข้างทันเหตุการณ์ แบบหากจะให้เปรียบ มันก็คือจดหมายเหตุที่คอยบันทึกเรื่องราวดีๆนี้เอง
ใครอ่านถึงตรงนี้ อาจจะต้องคิดว่า แอดมินมึงรับตังมารีวิวหรอวะ แม่งเขียนชมชิบหาย ขอบอกไว้ก่อนเรื่องนี้ ผมจ่ายเงินไปดูเอง ไม่ได้รับตังมาโว้ย เอาเป็นว่าเขียนชมมาก็เยอะ มาฟังข้อด้อยกันบ้าง
หลวงพี่แจ๊ส 5G สามารถเปิดเรื่องช่วง 15 นาทีได้น่าสนใจมาก มันทำให้ดูเหมือนหนังจะมีอะไร แต่พอหลังจากนั้น หนังก็เข้าสู่การวนรูปแบบเดิมๆ เพราะ หนังแทบไม่มีแก่นสารของตัวเส้นเรื่องเลยแม้แต่นิดเดียว อยากจะเล่นเรื่องนี้ มึงก็เล่น อยากจะไปเล่นกับตัวละครนี้ มึึงก็เล่น อยากจะไปตลกไปฮากับพาร์ทโน้น มึงก็เล่น
ผมรู้สึกไม่โอเคกับการเล่นมุขตลกแบบล้นๆมาก การเล่นย้ำคิดย้ำทำ เล่นล้นเอาไว้ก่อนมึงต้องขำแน่ๆ ใครหลายคนอาจขำ แต่สำหรับผม แม่งโคตรน่ารำคาญเลย ยิ่งมุขพวกเสียงสูง เชี้ยไรพวกนี้ แม่งโคตรทรมานหูชิบหาย แถมหนังยังใช้มุขเก่าระดับตลกคาเฟ่ ผมกล้ารับประกันว่ามุขทุกมุขที่เห็นจากหนังเรื่องนี้ หากคุณอายุ 20 บวกน่าจะต้องคุ้นชินกับทุกมุขที่หนังเล่น
ผมไม่ได้ติดอะไรกับคุณแจ๊สในบทหลวงพี่แจ๊ส ผมรู้สึกว่า เขาทำหน้าทีของตนเองได้ในระดับที่เราจะพอใจ แต่สำหรับสองตัวละครอย่าง มโน และ สายสิญจน์ เป็นตัวละครที่ผมโคตรรำคาญเลย เล่นมุขแม่งก็ไม่ดูจังหวะ เล่นใหญ่จัดใหญ่ไว้ก่อน ส่วนตรงนี้ไม่รู้เป็นเพราะนักแสดงทำเองหรือว่าผู้กำกับสั่ง แต่เอาเป้นว่า แม่งดูแล้วหงุดหงิดชิบหาย ดูหนัง 4k
 ความรู้สึกหลังดูจบ นี่คือ อื้อหืออออ บ้าบอไปกันใหญ่แล้วหนังไทย
อะไรกัน อะไรกันนนนนนนนนน หนังแบบนี้เนี่ยนะยึดโรงฉาย 700 กว่าโรงทั่วประเทศ ตอนแรกกะนิ่งเฉย ปล่อยผ่าน แต่เรื่องนี้ปล่อยไม่ได้ เพราะมันไม่ยุติธรรมกับหนังเรื่องอื่นๆที่โดนหนังเรื่องนี้เบียดโรงฉายกระจุยกระจายขนาดนี้ และไม่ยุติธรรมกับคนดูหนังที่ตั้งใจไปดูเรื่องอื่นแต่โดนเรื่องนี้เบียดหมด จนกลายเป็น เออ ออ กูดูเรื่องนี้ก็ได้วะ ไหนๆก็มาแล้ว อะไรแบบนี้ ..
.. บอกก่อนเลยว่าก่อนเข้าไปดูนี่ผมโคตรเปิดใจเลยนะ เปิดแบบไม่รู้จะเปิดยังไงแล้ว ไม่อคติ ไม่สนเสียงวิจารณ์ใดๆทั้งสิ้น เข้าไปดูแบบคนดูหนังเหมือนคนอื่นๆ เพราะแอบหวังว่าหนังมันอาจมีดี ทำเพจมาก็อยากเขียนเชียร์เขียนชมหนังของผู้กำกับคนนี้บ้างซักครั้ง แต่มันก็ไม่ไหวจริงๆ หนังไม่มีอะไรเลย จับต้นชนปลายไม่ถูก จับฉากนู้นมาใส่ ฉากนี้มาใส่ เป็นหนังตลกที่ไม่มีความตลกใดๆทั้งสิ้น อยู่บ้านช่วยเมียเลือกสีทาเล็บ ยังมีความสุขกว่าเข้ามาดูหนังเรื่องนี้อีก เรื่องย่อก็ประมาณว่า หลวงพี่แจ๊สพาเด็กไปตามหาพ่อที่ กทม แค่นั้นแหละ แก่นเรื่องมันมีแค่นี้จริงๆ แล้วหนังก็เอาฉากที่คิดว่าตลกมาใส่ ตัดแปะยำรวมๆกัน ปกติหนังบางเรื่องที่มันไม่ตลก มันมักจะมีความตลกในความไม่ตลกอยู่ในหนัง แต่เรื่องนี้ก็มีนะ แต่เป็น ความไม่ตลกในความไม่ตลก รอบที่ผมไปดูนี่นั่งกันเงียบกริ๊บ อย่างกับเข้ามานั่งวิปัสนา..
.. นักแสดงในเรื่องอย่าง แจ๊ส ชวนชื่น เรื่องนี้ผมว่าเค้าดูดรอปลงไปเยอะพอสมควรจากภาคที่แล้ว เหมือนเล่นไม่เป็นตัวของตัวเอง แล้วยิ่งไปเทียบกับแจ๊สในบริษัทฮาไม่จำกัดนี่คนละเรื่องเลย อันนั้นขำจริงจัง และแสดงศักยภาพในความตลกของแจ๊สออกมาได้โคตรเต็มที่ ส่วนนักแสดงคนอื่นๆก็ไม่มีอะไรให้น่าจดจำ แถมยังเล่นใหญ่จนน่ารำคาญ โดยเฉพาะนักแสดงหลัก 2 คน ที่ตามหลวงพี่แจ๊สอะไรนั่น โคตรแป๊กเลย แล้วไอ้การใส่ชุดมาหลายๆแบบเนี่ยคือไม่เข้าใจว่ามันตลกตรงไหน บางคนอาจคิดว่าการที่ผมไม่ตลก คนอื่นอาจตลกก็ได้ อยากให้เข้าไปดูในโรงนี่คือนั่งกันเฉยมาก ส่วนในเรื่องของธรรมะที่หนังสอนก็แทบจับใจความอะไรไม่ได้เลย .. ดูหนังออนไลน์ 4k
.. เนื้อหาในส่วนของการจิกกัดสังคมที่ว่าเป็นจุดเด่นนี่คือ พินาศมาก มุขโคตรเก่า เข้าใจว่าถ่ายทำปีที่แล้ว เลยเอาสถานการณ์ในตอนนั้นมายัดๆใส่ลงไป แต่คือมันไม่ขำแล้วไง ทั้งมุขล้อเลียนการเมือง ล้อเลียนพระ ล้อเลี่ยนกระแสสังคมต่างๆ แล้วตอนท้ายๆทำมาเป็น ออจง ออเจ้า และใส่มาแบบมั่วๆด้วย เหมือนยัดเยียดมาว่า เออ กระแสตอนนี้ ต้องออเจ้านะ เลยใส่มานิดนึงให้คนกรี๊ด นี่ถ้าหนังฉายช้ากว่าอีกซักอาทิตย์ก็น่าจะมีโล้สำเภาเข้ามาด้วย แต่เอาเข้าจริงๆหนังมันก็ได้ตังค์อยู่ดี ทั้งการยัดเยียดรอบฉาย และกลุ่มคนดูมันก็ยังพอมี สุดท้ายหนังออกโรงปิดจ๊อบร้อยล้าน ปีหน้าก็วนลูปมาแบบเดิม เฮ้อออ กงกรรมวงเวียนกงเกวียนอะไรของคนรักหนังไทยแบบกูวะเนี่ย ..
ใช่แล้วครับ เรากำลังพูดถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ “หลวงพี่แจ๊ส 5G” หนังภาคต่อจากภาค “4G” ที่ทำรายได้จากการฉายในโรงถล่มทลายเกือบสองร้อยล้านบาท (ถ้าตัวเลขไม่ผิด ก็คือ 162 ล้านบาท!) ซึ่งต้องบอกว่า รายรับระดับนี้ มีก็แต่หนังจากเมืองนอกระดับบล็อกบัสเตอร์เท่านั้นที่พอจะฝันได้ ส่วนหนังไทย … ไม่ใช่ดูแคลน … เดี๋ยวนี้ที่มีได้หลักหมื่นหลักแสน ก็หลายเรื่อง
รีวิวหนัง หลวงพี่แจ๊ส 5G
ถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะบอกว่า ก็หลวงพี่แจ๊สเอาโรงฉายและรอบฉายไปเสียหมดอย่างไรล่ะ รายได้ก็เลยมาก… เหตุผลข้อนี้ก็ส่วนหนึ่งนะครับ และต้องยอมรับว่า ภาคก่อนหน้านี้ คือภาค 4G หลวงพี่แจ๊สยังเป็นอะไรที่ใหม่หมาด คนบางคนอาจจะยังอยากชิมรสชาติ ต่อเมื่อได้ชิมแล้ว เชื่อว่าภาคที่สองนี้จะเป็นภาคตัดสินว่า การได้โรงฉายมากๆ เยอะๆ จะส่งผลเหมือนเดิมไหม เพราะหลายคนบอกชัดเจนว่าไม่เอาแล้ว
แต่จริงๆ ตรงนี้จะไปว่าโรงหนังอย่างเดียวก็ไม่ถูกต้องเท่าไหร่ครับ เพราะเขาทำธุรกิจ แล้วเขาก็คงวิเคราะห์ทิศทางหรือดูข้อมูลกันแล้วว่าหนังเรื่องไหนจะทำเงินไม่ทำเงิน ถ้ามันมีสิทธิ์จะทำเงิน เขาก็เทโรงทุ่มรอบให้ เป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าถึงวัน มันไม่มีคนดู เขาก็เทออกเหมือนกัน หนังแต่ละเรื่องก็มีโอกาสเจอเหตุการณ์อย่างนี้เหมือนกัน

และขอเล่าจากเหตุการณ์จริงสักนิด รอบที่ผมดูวันพฤหัสบดีนี้ ก็มีคนตีตั๋วเข้าไปชมเยอะเหมือนกัน คำนวณก็ประมาณครึ่งโรงได้ ผมก็พยายามสังเกตปฏิกิริยาของคนอื่นๆ เหมือนกัน อย่างน้อยๆ นี่เป็นหนังตลก สิ่งที่เราพอจะจับสังเกตได้ก็คือ ถ้ามันตลก ก็ย่อมจะมีเสียงหัวเราะ แต่ถ้ามันไม่ตลก มันก็จะ “กริบ” … เดี๋ยวอีกสักหน่อย ผมจะมีคำตอบให้ …

โดยไอเดียความคิด ผมเชื่อว่า ผู้กำกับอย่างพจน์ อานนท์ นั้น ดูหนังออนไลน์ ต้องการสะกิดสะเกาประเด็นเนื้อหาเกี่ยวกับศาสนาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การให้ตัวละหลักเป็น “พระ” (หลวงพี่แจ๊ส) นั่นก็คือต้องการจะพูดถึง “สิ่งที่เห็นและเป็นอยู่” ในศาสนาพุทธแน่นอนแล้ว เหมือนภาคที่ผ่านมา ที่หนังพาเราไปพบไปสัมผัสกับเรื่องราวในแวดวงพุทธจักร ผ่านมุมมองของคนทำหนังที่ออกตัวไว้ตั้งแต่ต้นว่า ไม่ได้ตั้งใจล้อเลียนหรือทำให้เสื่อมเสีย แต่มุ่งเน้นให้เกิดความบันเทิง และมีคติสอนใจไปด้วยในขณะเดียวกัน คือตามแนวถนัดของพจน์ อานนท์ จะให้เขาลุกขึ้นมาเทศนาเรื่องนั้นเรื่องนี้ ผมว่าก็ไม่เหมาะหรอกครับ เพราะลำพังแค่พูดหรือโพสต์อะไรนิดๆ หน่อยๆ ในโซเชียล บางทียังถูกรุมสะกรำแทบไม่เหลือเป็นตัวเป็นตน ดังนั้น ก็พูดและเล่าผ่านภาพยนตร์นี่ล่ะ
ภายหลังจบภารกิจในภาค 4G หลวงพี่แจ๊สก็ออกจากวัดในเมืองใหญ่ ด้วยหวังจะปลีกวิเวกปฏิบัติธรรมในพื้นที่ต่างจังหวัด โดยไปปักกลดอยู่บนเกาะเล็กๆ ที่ห่างไกล แต่ก็มีเรื่องอีกจนได้ เมื่อพระอาจารย์ที่นับถือรูปหนึ่งได้ไหว้วานให้หลวงพี่แจ๊สพาสามเณรน้อยรูปหนึ่งไปตามหาพ่อในกรุงเทพฯ หลวงพี่แจ๊สก็ต้องรับอาสาไปทำภารกิจดังกล่าวอย่างเลี่ยงไม่ได้ และการไปเมืองหลวงครั้งนี้ ก็ทำให้หลวงพี่ได้พบกับเหตุการณ์น่าสงสัยในวัดใหญ่วัดโต จากพฤติกรรมของคนใหญ่คนโตภายในวัด
อย่างที่บอกครับว่า ในเนื้อหาใจความสำคัญๆ ที่พจน์ อานนท์ พยายามสื่อสารผ่าน “หลวงพี่แจ๊ส” คือเรื่องราวในพุทธจักรร่วมสมัย เท่าที่จับใจความได้ คือหนังเน้นพูดเรื่อง “ศรัทธา” ที่ควรต้องมาควบคู่กับปัญญา เพื่อเลี่ยงให้พ้นความงมงาย ในหนังตั้งแต่ภาคที่แล้ว เราจะได้เห็นพวกกิจกรรมแห่งศรัทธาที่พอตรวจสอบไปตรวจสอบมา มันเป็น “กิจกรรมลวงโลก” ให้พวกที่อาศัยศาสนาหรือผ้าเหลืองหรือความไม่รู้ของคนในการประกอบทำมาหากิน และพอมาในภาคนี้ … 5G หนักข้อขึ้นไปอีก เพราะหนังไม่ได้เล่นแค่ “ร่างทรง-องค์เก๊” แต่ยังแตะไปถึงระดับ “บิ๊ก” ของวงการ … เป็นคนที่คุณก็นึกออกว่าคือใคร เมื่อได้ดูหนัง
รีวิวหนัง หลวงพี่แจ๊ส 5G
ในเชิงประเด็น ผมมองเห็นความปรารถนาดีของพจน์ อานนท์ ที่จะใช้ “หลวงพี่แจ๊ส” เป็น “เครื่องมืออย่างหนึ่ง” ในการสะท้อนถึงมุมอัปลักษณ์ในแวดวงพุทธศาสนา ตัวการบั่นทอนสังคม/ศาสนา เป็นเหลือบไรที่ทำให้สังคมศาสนามัวหมอง ทั้งนี้ยังมีข้อสรุปที่หนังพยายามบอกผ่านปากตัวละครว่า ใครทำกรรมเช่นใด ก็ย่อมจะได้รับผลกรรมเช่นนั้น เฉกเช่นกับพระเก๊พระเทียมหรือพวกที่อาศัยศาสนาประกอบการทำมาหากิน สุดท้ายก็มีจุดจบที่ไม่สวยด้วยกันทั้งนั้น และ… ผมชอบการแดกดันของหนังที่เล่าเรื่องว่า สุดท้ายแล้ว เราก็มักจะจับไอ้มารศาสนาพวกนี้ไม่ได้จริงๆ สักทีหรอก!
ขณะเดียวกัน … ไหนๆ ก็ตั้งลำมา ว่าเป็นหลวงพี่ยุค 5G แล้ว สิ่งหนึ่งซึ่งเราจะได้เห็นในหนังก็คือ การที่ผู้กำกับยุค 3G4G หยิบเอาเรื่องราวที่เคยเป็นประเด็นฮอตฮิตมาใส่ไว้ในหนังเยอะแยะไปหมด ซึ่งแทบทั้งหมดก็ต้องบอกว่าเป็น “ประเด็นดราม่าทางสื่อโซเชียล” นั่นล่ะ พอหยิบมาแล้วก็ให้ “หลวงพี่เทศน์” อย่างนั้นอย่างนี้ โดยเฉพาะเรื่องการมีสติมีปัญญา “รู้เท่าทันอารมณ์ตัวเองและอารมณ์สังคม” (มีการที่พจน์ อานนท์ อำตัวเองด้วย ในกรณีโดนอัดทางโซเชียล) การหยิบเอาเรื่องราวดราม่าเหล่านี้มาเล่า ก็เข้าใจว่า พจน์ อานนท์ คงต้องการให้หนังมีความใกล้ชิดกับคนดู เพราะเดี๋ยวนี้ทุกคนมีสมาร์ทโฟนใช้กันแทบหมดแล้ว และก็คงผ่านตาข่าวดราม่าพวกนี้มาบ้าง

เขียนมาขนาดนี้… หลายคนอาจจะมีคำถามว่า นี่จะมาอวยกันใช่ไหม? ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ดูหนัง แค่พยายามจับเรดาร์ความคิดของคนทำหนังว่าเขาต้องการสื่อสารอะไรยังไง และทีนี้ จะว่าไปถึงเรื่ององค์ประกอบต่างๆ ว่ามันเข้าที่เข้าทางเพียงใด

ก็อย่างที่หลายคนจะได้เห็นครับว่า ลำพังแค่ตัดหนังตัวอย่าง หนัง “หลวงพี่แจ๊ส 5G” มีความพยายามจะตามเทรนด์ให้ทันทุกประเด็นตลอด ซึ่งสิ่งนี้จะมองว่าเป็นความนึกสนุกของคนทำหนังก็มองได้ แต่การที่มีอะไรต่อมิอะไรในหนังเยอะแยะไปหมด มันทำให้สารตั้งต้นหรือประเด็นที่จะเล่าจริงๆ เกิดอาการส่ายเซ ไม่เป็นเนื้อเป็นหนัง ผมอยากจะเทียบง่ายๆ อย่างนี้ กับหนังพระรุ่นพี่ที่มาในแนวตลกเหมือนกัน อย่าง “หลวงพี่เท่ง” ผมเห็นว่า หนังมีการเล็ง “ตัวเรื่อง” หรือสคริปต์ไว้แน่นอนแล้วว่า จะ “เล่าเรื่อง” อะไร ซึ่งเมื่อมีความชัดเจน มันส่งผลอย่างมากต่อ “การดำเนินเรื่อง” ของหนัง พูดง่ายๆ ก็คือหลวงพี่เท่งนั้นมีเป้าหมายปลายทางที่จะไปชัดเจน ส่วนหลวงพี่แจ๊สจะแวะข้างทางบ่อยมาก เพราะไปให้ความสำคัญกับ “เรื่องที่เป็นกระแส” มากเกินไป