รีวิวหนัง ผู้บ่าวไทบ้าน 3 หมานแอนด์เดอะคำผาน
วันนี้มากับภาพยนตร์ไทย แนวตลกฮา สนุกสนานกันครับ กับภาพยนตร์ในซีรีส์ ผู้บ่าวไทบ้าน ซึ่งในภาคนี้มาในชื่อ ผู้บ่าวไทบ้าน 3 : หมาน แอนด์ เดอะ คำผาน เป็นเรื่องราวของ บักหมาน กับ บักคำผาน ที่เอาเงินจากการขายที่นาไปเล่นการพนันจนหมด ทำให้แผนการแต่งเมียของไอ้หมานต้องล้มเหลว ทั้งคู่จึงต้องแสวงหาหนทางหาเงิน และเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด
รีวิวหนังไทย ผู้บ่าวไทบ้าน 3 : หมาน แอนด์ เดอะ คำผาน เป็นภาพยนตร์ในซีรีส์ แนวสนุกตลกที่ออกฉายในปี 2561 กำกับโดย อุเทน ศรีริวิ เป็นภาพยนตร์ที่มีทั้งฉากเศร้า สนุก และก็ตลกฮา แต่ถึงแม้จะเป็นฉากเศร้าแต่ก็ชวนให้อยากจะขำอยู่ดี รีวิวหนัง ผู้บ่าวไทบ้าน 3 หมานแอนด์เดอะคำผาน

โดย ผู้บ่าวไทบ้าน 3 : หมาน แอนด์ เดอะ คำผาน นั้นมีเรื่องย่อประมาณว่า หมาน และ คำผาน เป็นเพื่อนซี้กันมาตั้งแต่เด็ก หมานเป็นคนชอบทำมาหากิน ขยันออกหากบหาปลา ส่วนคำผานนั้นชอบเล่นการพนัน เข้าบ่อนเป็นชีวิตจิตใจ แต่ที่ทั้งคู่ชอบเหมือนกันก็คือดูดกัญชา หลังจากที่ย่าของไอ้หมานได้ลาจากโลกไป ได้ทิ้งที่นาไว้ให้ 100 ไร่ ไอ้หมานอยากแต่งงานจึงเอาที่ดินไปจำนอง และเป็นที่มาของนายทุนที่ฆ่ากันเพื่อชิงโฉนดที่ดิน 100 ไร่ของไอ้หมาน ส่วนไอ้หมานได้เงินมา 1 ล้าน ไม่ทันได้แต่งงานก็ถูกไอ้คำผานชวนเข้าบ่อนจนหมดตัว
ไอ้หมาน และ คำผาน จึงต้องหาเงินด้วยการขายตรงกับยาสมุนไพรที่ผิดกฎหมาย แต่โชคชะตาก็พาให้ทั้งคู่ได้ไปเจอกับเงินจำนวนมหาศาล ทำให้ทั้งคู่ต้องถูกตามล่าจากมือปืน
และในหนังยังมีตัวละครอีกสองคนที่ปิดฉากตอนจบได้อย่างพลิกล็อคมาก ๆ ที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังของการกลับมาเป็นปกติสุขของคนในหมู่บ้าน นั่นก็คือ บักที กับ บักเค โดยที่ทั้งสองปลอมตัวเป็นขี้ยาเมากาวตลอดทั้งวัน แต่ความจริงแล้วมีแผนการอยู่เบื้องหลัง
ซึ่งหนังเรื่อง ผู้บ่าวไทบ้าน 3 : หมาน แอนด์ เดอะ คำผาน นี้ก็นอกจากจะมอบความบันเทิงในรูปแบบที่ดูแล้วสนุก ตลก และก็ฮาแล้ว ยังเป็นหนังที่สะท้อนชีวิตผู้คนในชนบทได้เป็นอย่างดี ที่เคยมีชีวิตที่เรียบง่าย และเมื่อมีการเข้าไปลงทุนของนายทุน โดยการเอาเงินไปล่อ ทำให้ชาวบ้านหลงเชื่อ และเป็นหนี้จนต้องสูญเสียทรัพย์สิน และที่ดินทำมาหากินที่ได้รับสืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ
รวมทั้งสะท้อนภาพของวัยรุ่นในชนบทสมัยก่อนที่ใช้ชีวิตไปวัน ๆ ชอบจับกลุ่มกันกินเหล้า แบบวัน ๆ ไม่ทำอะไร ส่วนนายทุนก็แย่งชิงความมีอิทธิพลกัน และเอาเปรียบชาวบ้าน

แต่ที่เด็ดสุดคือความคิดของ ไอ้ที กับ ไอ้เค ที่ต้องการฟื้นฟูทุกอย่างให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม โดยการวางแผนคืนความสุขให้กับชาวบ้าน และกำจัดผู้ที่เอารัดเอาเปรียบชาวบ้าน ทำให้ดูแล้วรู้สึกเหมือนว่า คนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน ที่เดินทางจากบ้านมาศึกษาหาความรู้แล้วก็กลับไปพัฒนาบ้านเกิดยังไงยังงั้นเลยครับ
เป็นภาพยนตร์ตลกร้ายจากอีสานที่บอกเล่าเรื่องราวของ หมาน ชายหนุ่มที่ทำอะไรก็ได้ดิบได้ดีไปหมด ขณะที่อีกคนคือ คำผาน ชายหนุ่มผู้โชคร้าย เล่นพนันทีไรเป็นเสียตลอด พวกเขาสองคนเป็นเพื่อนซี้กันมาก จนมาวันหนึ่ง หมานสามารถขายโฉนดที่ดินของย่าได้มาล้านบาท เรื่องราวปั่นป่วนทุกอย่างเกี่ยวกับเงินๆทองๆของเถ้าแก่โรงสี เสี่ยไร่อ้อย มือปืน เด็กวัยรุ่นดมกาวสองคน หมาน และคำผาน ก็เริ่มขึ้นนับแต่นั้น (ตัวหนังไม่เกี่ยวข้องกับ “ผู้บ่าวไทบ้าน ภาค 1-2” หรือ “ไทบ้านเดอะซีรีส์” แต่อย่างใด)
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าหลังจากได้ชมจบแล้ว ผมยืนยันตรงนี้ก่อนเลยว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่สามารถเรียกตัวเองว่าเป็นหนังอินดี้หรือหนังแนวทดลองแต่ประการใด เป็นภาพยนตร์ที่มีวิธีการเล่าเรื่องธรรมดาทั่วไปมาก เพราะฉะนั้นข้อดีของเรื่องหรือปัญหาใดๆที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์ผมจะวิจารณ์ไปตามมาตรฐานของภาพยนตร์ทั่วไปล้วนๆ ไม่ได้สนใจเรื่องความอินดี้หรือไม่อินดี้แต่ประการใดนะจ๊ะ
การเล่าเรื่องสำหรับเรื่องนี้ต้องบอกว่าเริ่มต้นได้ดีครับ ทั้งฉากเปิด และประเด็นของหนัง หนังมีประเด็นเรื่องที่ดีมากๆ กล่าวถึงเรื่องคนรวยที่เอาเปรียบคนจน กล่าวถึงเรื่องลาภยศต่างๆ แต่การเล่าเรื่องดีๆที่ผมว่าไปกลับดีอยู่ครึ่งเดียว ครึ่งแรกเท่านั้น เพราะพอถึงจุดที่หนังเกิดปัญหาขึ้นอย่างชัดเจน ความน่าเชื่อถือในเนื้อเรื่องของหนังก็ลดต่ำอย่างต่อเนื่องทันที ไหนจะเรื่องความสัมพันธ์ของเพื่อนกับการต้องเสียเงินไปมากมายกับเรื่องไร้สาระที่ไม่น่าจะยังสนิทและชิลๆต่อได้ขนาดนั้น ไหนจะเรื่องเหตุผลประปรายของการกระทำที่ผมบอกไม่ได้เดี๋ยวสปอยล์ ไหนจะตอนจบเรื่องที่กำปั้นทุบดินมาก รวบฮวบมวบจบแหมะง่ายๆเลย จู่ๆก็ตัดฉากมา จู่ๆก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น คือมันไม่งงหรอก แต่มึนเลยว่าเล่นงี้ก็ได้เหรอ? มันเลยกลายเป็นทำประเด็นและอะไรหลายอย่างที่ดีไว้ในครึ่งแรกมายำเล่นเละเทะเอาตอนท้ายเล่น ขมวดจบได้แย่ ภาพรวมจึงน่าผิดหวังไปโดยปริยาย เพราะไม่สามารถแก้ปัญหาความสัมพันธ์ของตัวละครมากมายในเรื่องให้น่าเชื่อได้… น่าเสียดาย น่าเสียดายมาก
ส่วนความฮาภายในเรื่องนี้พอกะเทิน แทบทุกฉากที่พยายามตลกจะออกแนวยิ้มๆมากกว่า คงมีเพียงมุกความบ้าบอของเด็กอมกาวที่ถือว่าใช้ได้ แต่ก็ไม่ช่วยให้ภาพรวมความฮาของหนังดีขึ้นเท่าไหร่
และด้วยความที่ภาพยนตร์เรื่องนี้มีนักแสดงมาก ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงหลักและนักแสดงประกอบ นักแสดงแต่ละท่านที่ปรากฏในเรื่องจึงเป็นสีสันให้เรื่องอยากมาก ซึ่งโดยภาพรวมแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คุมการแสดงของนักแสดงหลายท่านได้ดี ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะมีบทพูดที่ค่อนข้างดีด้วย ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีนักแสดงที่ทำหน้าที่ตัวเองได้ยอดเยี่ยมบ้างในหนังระดับประเทศ คำพูดคำจาลื่น สีหน้าได้ แต่สิ่งดีๆที่ว่านี้กลับไม่ได้มาจากนักแสดงนำ… แต่เป็นตัวประกอบที่เราน่าจะคุ้นหน้าค่าตามาจาก “ไทบ้านเดอะซีรีส์” ซึ่งก็คือ คุณ ณัฐวุฒิ แสนยะบุตร และ ชาติชาย ชินศรี นั่นเอง บอกได้เลยว่าเป็นตัวโดดเด่น ตัวฮามาก โผล่มาไม่กี่ฉากก็ช่วยให้เรื่องครื้นเครงขึ้นได้ ไม่ธรรมดา
โปรดัคชั่นโดยรวมสำหรับเรื่องนี้ถือว่าทุ่มทุนพอสมควรนะ ฉากมีหลายฉาก ตัวนักแสดงหลักมีหลายคน ตัวประกอบบานตะไทยิบย่อยเต็ม นอกนั้นก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นมากมาย นอกจากสิ่งหนึ่งที่ทำได้ดีก็คือการนำ Visual Effect เข้ามาช่วยสร้างงาน ซึ่งก็มีทั้งฉากที่ทำได้ดี และฉากที่ทำได้แย่มากจนหลุดขำ แต่หากมองภาพรวมแล้วคือเจ๋งดี นี่ไม่ใช่หนังถูกๆที่ไม่มีการจัดการอะไรแน่นอน ไม่ใช่หนังเกรดบี รับประกัน มีเพียงฉากที่เป็นโมชั่นคอมิค (Motion Comic) เท่านั้นที่ทำให้ผมงงมากว่าใส่มาทำไม? เพราะไม่เข้ากับเรื่องเลย ไม่จำเป็นด้วย

สรุปโดยภาพรวมแล้ว ผู้บ่าวไทบ้าน 3 หมาน แอนด์เดอะ คำผาน จึงเป็นภาพยนตร์ตลกร้ายจากอีสานที่ทำออกมาได้ครึ่งผีครึ่งคน มีประเด็นและความพยายามในการนำเสนอปัญหาของชาวอีสานที่แข็งแรงพอตัว แต่ถึงจุดหลังจากปัญหาหลักของเรื่อง (Turning Point) ก็กลายเป็นว่าเนื้อเรื่องไม่น่าเชื่อถือ ไม่น่าสนใจอีกต่อไป ความฮาคือพอกะเทิน ยิ้มๆไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีฉากไหนฮาจนน่าจดจำ งานโปรดัคชั่นถือว่าทำดีระดับประเทศ ฉากประกอบเยอะ ตัวละครหลักมีมาก ตัวประกอบมากกว่าหลายเท่า แถมมีการใช้ Visual Effect เข้ามาช่วยแก้ปัญหาด้วย บางฉากเนียนมาก บางฉากแย่มาก พอถูๆไถๆกันไป ใครอยากลองดูหนังอีสานที่มีประเด็นแข็งแรงดี ฮายิ้มๆไปตลอดก็เข้ามาชมได้ (แต่เนื้อเรื่องจะดีแค่ครึ่งเรื่องแรกนะ)
บักหมานสืบสายเลือดชาวนามานานนม ใช้ชีวิตเรียบง่ายในที่นาและแปลงกัญชาที่ยายซึ่งตายเพราะข้าวเหนียวติดคอทิ้งไว้ให้ บักหมานชอบพอกับน้องพรมายาวนาน น้องพรร้องขอสินสอดสามแสน แต่บักหมานไม่มีให้ เมื่อยายตาย เขาเลยเอาที่นาไปจำนองจะเอาเงินมาแต่งเมีย แต่ความซวยคือบักคำผาน เพื่อนสนิทของบักหมาน เป็นพวกผีพนัน เงินหนึ่งล้าน ที่นา และน้องพรเลยหายวับไปกับตา
ในไม่กี่วันอันยุ่งยาก หมานและคำผานจับพลัดจับผลูไปข้องเกี่ยวกับธุรกิจขายตรงยาสมุนไพรที่ไม่ได้เรื่องได้ราว แถมยังซวยไปติดอยู่ตรงกลางสงครามของโรงสีข้าวกับโรงงานน้ำตาลที่ต่างกำลังแย่งชิงพื้นที่และแรงงานกันอย่างเข้มข้น โดยทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นนั้น อยู่ในสายตาของบักทีและบักเค คู่หูสองสิงห์ดมกาวประจำหมู่บ้าน ชาวนาชั้นล่างที่บ่เข้าใจและบ่มีวันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในหมู่บ้าน ว่าทำไมชาวนาจึงสูญเสียที่นาของตนและกลายเป็นแรงงานยากจนซ้ำซาก ในความไม่เข้าใจนี้พวกเขามีถุงกาวเป็นสรวงสวรรค์ชั่วคราวในการหลบหนีจากโลก
รีวิวหนัง ผู้บ่าวไทบ้าน 3 หมานแอนด์เดอะคำผาน
ดูหนังออนไลน์ 4k น่าเสียดายไม่น้อย ที่ภายใต้ความตั้งใจจะเป็นหนังแบบตารันติโน โคเอนบราเธอร์สฉบับชาวนาไทย ขับเคลื่อนด้วยสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก อาชญากรรมทั้งโดยบังเอิญและตั้งใจ การซ้อนแผนลูบคมไปมา แต่หนังไปไม่รอดในทางนั้น เพราะหนังเต็มไปด้วยตัวละครที่ไม่มีเสน่ห์ พวกเขาทั้งไม่น่ารัก ไม่น่าสงสาร ไม่น่าหมั่นไส้ หรือน่าเอาใจช่วย ผู้ชมเพียงเฝ้าสังเกตการณ์ชีวิตร่วงหล่นของพวกเขาจากที่ไกล หนังปราศจากบทสนทนาคมคายขณะเดียวกันก็ไม่สมจริง อ่อนเหตุผล ความแห้งแล้งทางอารมณ์ในครึ่งแรกของหนังทำให้ทุกอย่างอ่อนล้าลงไปเรื่อยๆ จนเมื่อหนังพลิกกลับไปอีกทางก็เกือบจะไม่ทันทางอารมณ์ไปแล้ว
เริ่มต้นจากการเป็นหนังฉายภาพความล่มสลายของชีวิตชาวนาที่เป็นครึ่งหนึ่งของโลกทุนนิยมอีกครึ่งหนึ่ง (หรือเกินครึ่งหนึ่ง) เป็นการทำตัวเอง ก่อนจะพลิกกลับเป็นหนังอาชญากรรมหักมุมในช่วงยี่สิบนาทีสุดท้าย เมื่อหนังมาถึงจุดเฉลยเรื่องราวทั้งหมด หนังก็ยังพาผู้ชมไปถึงการปฏิวัติของชาวนาเพื่อโค่นล้มนายทุน
ขณะที่ชีวิตชาวนาในภาคอีสานถูกบันทึกลงในหมาน แอนด์เดอะ คำผาน เสี้ยวชีวิตเล็กจ้อยของชาวนาในภาคกลางได้ถูกบันทึกไว้ในหนังอีกเรื่องที่ออกฉายในสัปดาห์เดียวกัน เป็นหนังของผู้สร้างอิสระเหมือนกัน และเป็นหนังที่พูดถึงชาวนาเช่นเดียวกัน นั่นคือ ฉากและชีวิต (SCENE AND LIFE)
ฉากและชีวิตเป็นไปตามชื่อของหนัง มันประกอบด้วยฉากสั้นๆ สิบฉาก และชีวิตของผู้คนในฉากเหล่านั้น ทั้งหมดคือบรรดาชาวนา และลูกหลานของพวกเขาในหมู่บ้านวังพิกุล บ้านเกิดของบุญส่ง นาคภู่ผู้กำกับ ทุกฉากเป็นเพียงภาพสั้นๆ ไร้ที่มาที่ไป เด็กสาวบอกลาเด็กหนุ่มเพื่อเข้ากรุงเทพฯ ลุงชาวนาสำลักยาฆ่าแมลง เด็กนักเรียนเดินท่อมๆ ไปสัมภาษณ์ชาวนาเพื่อทำรายงาน ชายหนุ่มตามหาเมีย มืดแปดด้านน้ำมันหมดที่หน้าวัด การซื้อขายบ้านเก่าของพ่อที่จะถูกรื้อไปทั้งหลัง เด็กหนุ่มวัยรุ่นที่เข้ากันไม่ได้กับพ่อแม่ในเย็นวันหนึ่ง ครูโรงเรียนมัธยมที่สอนหนังสือตามมีตามเกิดกับนักเรียนที่เขาไม่ชอบหน้าคนหนึ่ง พ่อที่พยายามเอาสูตรของแม่ตัวเองมาทำกับข้าวให้ลูกของตัวเองกิน ป้าขายผักพื้นบ้านที่ไม่มีใครรู้จักในเพิงร้านตามสั่ง และเด็กสาวกับพ่อของเธอในยามค่ำคืนที่ท่ารถเข้ากรุงเทพ
ดูหนัง 4k ดูเหมือนฉากสั้นๆ เหล่านี้ไร้ความหมายด้วยตัวมันเอง และเมื่อประกอบกันเข้ามันก็ไม่มีแกนเรื่องเล่าให้ยึดจับ หากแต่ละฉากในหนังเรื่องนี้เป็นเหมือนเพลงลูกทุ่งสักเพลงหนึ่ง เพลงอ่อนหวานเศร้าสร้อยที่เล่าเรื่องเฉพาะเจาะจง โลกที่ผู้ฟังรู้จักเพียงเล็กน้อย แต่ด้วยอารมณ์ของเพลงนั้น ความระทมอันงดงามนั้นเป็นสากล อยู่ในเนื้อร้อง ในการเปล่งเสียงถ้อยคำ ในท่วงทำนองของดนตรี นั่นคือการอธิบายที่เหมาะที่สุดกับฉากสั้นๆ อันทรงพลังในหนังเรื่องนี้ ที่เล่าผ่านสถานการณ์เฉพาะที่ผู้ชมอาจจะไม่เข้าใจทั้งหมด หรือแทบไม่เข้าใจเลย หากด้วยภาพเสียงและการตัดต่อ สาส์นสำคัญของมัน อารมณ์อันเอ่อท้นของมัน ฉายโชนอยู่ต่อหน้าผู้ชมอย่างเป็นสากลทัดเทียมกันภายใต้ภาษาของภาพยนตร์
เราอาจบอกได้ว่า ‘ฉากและชีวิต’ คือฉาก และ คือชีวิตของการค่อยๆ สาบสูญไป เราอาจแบ่งเรื่องส่วนหนึ่ง เด็กสาวสองคนในฉากแรกและฉากสุดท้ายเป็นโมงยามของความพลัดพรากเมื่อกรุงเทพฯ ฉีกพวกเธอขาดออกจากบ้าน ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งของหนังคือการบันทึกครั้งสุดท้ายก่อนที่บางสิ่งที่เคยมีคุณค่าจะสูญหายไป ทั้งพันธุ์ข้าวชนิดแปลกๆ ผักหญ้าโบร่ำโบราณ (สองฉากนึ้หนังเกือบทำหน้าที่เป็นบันทึกทางมานุษยวิทยา) สูตรอาหารของแม่ หรือบ้านโบราณที่กำลังถูกตรวจตราอีกครั้งก่อนรื้อถอน ดูเหมือนอนาคตในหนังมีแต่ความล่มสลาย เกษตรกรล้มตายในนาข้าวของตน หรือลูกหลานที่ไม่อาจเข้ากับพ่อแม่ ได้อีกต่อไป
เราอาจบอกได้ว่าบุญส่งมองเห็นทุกอย่างในโลกที่เขาอยู่อาศัยเป็นความสิ้นหวัง สายตาสิ้นหวังเช่นนี้ถ่ายทอดความซึมเซาของคนรุ่นก่อนหน้าที่กำลังตาย และมองในทางร้ายกับเด็กๆ รุ่นต่อมาที่ก็ดูสิ้นหวัง อับจนหนทางไป และเข้ากันไม่ได้กับครอบครัว
ความจริงอันเศร้าสร้อยนี้ตัดข้ามกับโลกฝันโลดโผนของ อุเทน ศรีริวิใน หมาน แอนด์เดอะ คำผาน อย่างน่าสนใจ หลังจากใช้เวลาครึ่งแรกในการอภิปราย ความล้มตายจากภายในของชาวนาไทยทั้งจากเหล้า ยาเสพติด การพนัน และความเกียจคร้าน สมทบด้วยปัจจัยภายนอก เช่น การกู้หนี้ยืมสิน นายทุนหน้าเลือด วงจรอุบาทว์ของการทำนา กู้ซื้อปุ๋ย ขายไม่ได้ราคา เป็นหนี้ จำนองที่นา กลายเป็นชาวนารับจ้าง ในที่สุดหนังเปิดเผยโครงสร้างทางสังคมที่กดทับให้ชาวนาจนลงไป ดูหนังออนไลน์
ตรงนี้เองที่หนังเริ่มเดินหน้าไปสู่การเป็นหนังมาร์กซิสต์ปฏิวัติโค่นล้มนายทุนเพื่อชาวนา (ในแบบแฟนตาซี) หนังจึงเคลื่อนเข้าสู่มุมมองแบบมีความหวังมากๆ ว่าสิงห์ดมกาวและไอ้คนขี้ยาผีพนันก็สามารถโค่นล้มนายทุนได้ การปฏิวัตินั้นรออยู่ใน แม้ว่ามันจะมาในโลกหลังถุงกาว เหล้าขาว หรือกัญชาก็ตาม
หมาน แอนด์เดอะ คำผาน เลยกลายเป็นทั้งหนังแฟนตาซี หนังที่เปิดเผยความล้มเหลวของชาวนาไทยในหลากหลายมิติ ก่อนที่จะเชื่อมั่นในคนรุ่นต่อไปว่าสามารถเปลี่ยนแปลงได้ สวนทางกับสายตาอันสมจริง สวยงาม เต็มไปด้วยความเป็นกวี หากค่อนไปทางสิ้นหวังในฉากและชีวิต
มันอาจจะเป็นได้ทั้งข้อด้อยของหนัง ที่ดูเหมือนหนังจะเป็นเพียงการทอดอาลัยในการมองไปข้างหน้า ในขณะที่หมาน แอนด์เดอะ คำผาน ฉายมหัพภาคของความล้มละลายของสังคมชาวนา หากฉากและชีวิตจับภาพจุลภาคของละอองชีวิตที่ถูกลบเลือนไปตามกาลเวลา แม้สายตาที่เขามีต่อคนรุ่นใหม่ (เด็กใส่หูฟัง เด็กหนุ่มขาร็อก) อาจจะสิ้นหวังไปสักนิด แต่ในขณะเดียวกัน รายละเอียดอันเงียบเศร้าแต่งดงามในหนังก็คล้ายเป็นบันทึกอีกรูปแบบหนึ่งในสังคมชาวนาที่ไม่ได้พังลงในทันที แต่ขับเคลื่อนไปในทิศทางของการปรับเปลี่ยน ที่ในทุกการปรับเปลี่ยนมีบางอย่างจะถูกละทิ้งไป ค่อยๆ สาบสูญไปและหนังคว้าจับโมงยามเหล่านั้นเอาไว้ได้ทัน
อย่างไรก็ตาม ฉากและชีวิตยังมีฉากที่งดงามเรื่อเรือง นั่นคือฉากหนุ่มตามหาเมียที่มาหลงทางอยู่หน้าวัดในยามดึกดื่น การดำรงคงอยู่ของวัด หลวงพ่อ และการเกื้อกูลในหนังไม่ได้มาในรูปของการเชิดชูศาสนามากไปกว่าการช่วยเหลือกันยามตกทุกข์ได้ยาก การที่หลวงพ่อกล่าวว่า “อาตมาช่วยได้เท่านี้แหละโยม” ทำให้นึกถึงที่ใครบางคนเคยพูดถึงประเทศนี้ในทำนองว่านี่คือประเทศที่รัฐไม่ฟังก์ชั่นอะไรเลย แต่ที่ยังอยู่กันได้เพราะผู้คนที่ยากจนพอๆ กันนั้นฟังก์ชั่นมากๆ พร้อมที่จะช่วยเท่าที่ช่วยได้ตลอดเวลา ดูหนัง
เราอาจจะโรแมนติไซส์คำนี้ในฐานะการชื่นชมความมีน้ำใจ ได้พอๆ กับการวิพากษ์วิจารณ์ปัญหาแบบตรงไปตรงมาได้เท่าเทียมกัน และนี่คือฉากที่ฉายภาพความฟังก์ชั่นของผู้คนเหล่านั้นออกมา และอย่างน้อยมันก็ประคับประคองกันไปได้ แต่ไม่ใช่ว่าเราไม่จำเป็นต้องแก้ไขปัญหาในระดับโครงสร้างเลย เพราะเราไม่ได้มีบักหมานหรือบักคำผานมากอบกู้ชาวนาจากสังคมกินคน และใช่ว่าทุกครั้งที่เราลำบาก หลวงพ่อ หรือแม่ค้าตามสั่งจะยื่นมือเข้ามาช่วยเราได้ ในวันหนึ่งเราอาจหายไปเหมือนกับผักพื้นบ้าน หรือพันธุ์ข้าวท้องถิ่น หายไปโดยไม่ถูกจดจำแม้แต่โมงยามที่เราต้องส่งลูกเราเข้าไปเป็นแรงงานในเมือง ในยามกลางคืนอันรวดร้าว
และนี่คือหนังสองเรื่องที่พูดถึงชาวนาซึ่งออกฉายพร้อมๆ กัน มีสายตาที่แตกต่างกัน แต่ทั้งสองเรื่องเมื่อดูคู่กันก็ค้นพบอะไรที่ตัดข้ามกันไปมาอย่างน่าสนใจมากมายเต็มไปหมด ในพลวัตการเคลื่อนไหวของสังคมเกษตรกรรมที่เปลี่ยนไปจากความเข้าใจของชนชั้นกลางในเมืองจนหมดสิ้นแล้วในเวลานี้