รีวิวหนัง Who ปิดป่าหลอน
เมื่อรุ่นพี่หน้าแพ้น้ำประปาคิดจะพารุ่นน้องนักศึกษาไปลองดียังป่าที่ได้ชื่อว่าไม่มีใครได้กลับมา เพราะขนาดคนที่มาฟังยังย้ำกันประมาณ 8 รอบ แต่จะด้วยความคึกคะนองหรือเชื่อคนง่ายก็ไม่ทราบเลยทำให้เหล่าคณะนักศึกษาวัยรุ่นทั้ง เปี๊ยก (ชาลี ปอทเจส) หนุ่มติสต์ที่แอบหลงรัก เอ (ภานุมาศ สุวรรณ์) สาวจิตใจดีที่ชอบเป็นกรดไหลย้อน รีวิวหนัง Who ปิดป่าหลอน ซึ่งเป็นที่หมายปองของ อ๊อด (ภูวนันท์ รอดพลับ) หนุ่มกร่างไร้สาระ, ออย (วรชัย ศิริคงสุวรรณ) หนุ่มหล่อที่มาเออออตามเพื่อน ด้านสาว ๆ นอกจากเอแล้วยังมี แป้งร่ำ (กัลยกร โตกุล) สาวที่ชีวิตมีแต่การเติมแป้งอยู่ร่ำไปเหมือนชื่อ รีวิวหนังไทย
สาวที่มือสั่นทุกครั้งเวลากล้องจับภาพของเธอและ จูน (นาตาชา มณีสุวรรณ์) สาวเอ็กซ์แตกที่แต่งตัวมาเดินป่าด้วยเสื้อเอวลอย จากความอยากลองดีสู่การเจอดีตั้งแต่ฝุ่น PM 2.5 ที่มาเวลคัมพวกเขาสู่ทริปเดินไปพักไปและเหตุการณ์เริ่มเลวร้ายเมื่อเพื่อนของพวกเขาเริ่มทยอยโดนน้ำแดงราดคอไปทีละคน พวกเขาจะรอดจากมดขึ้นเอ้ย..อาถรรพ์จากสิ่งลี้ลับ ลับ ๆ ล่อ ๆ ได้หรือไม่ มาลุ้นกันว่ามันจะตายกันหมดหรือคนดูจะตายก่อน..
บอกก่อนเลยว่าการเอาตรรกะการดูหนังแบบทั่วไปไม่อาจใช้วิจารณ์หนังเรื่องนี้ได้จริง ๆ เพราะสิ่งที่ผู้สร้างหนังอย่าง กรภัทร์ ทั่งศรี ต้องการสื่อสารกับคนดูนั้นจำต้องตีความในระดับที่ลึกกว่าคอลาเจนดี ๆ จะกระทำกับผิวหนังเสียอีก ลำพังแค่การเล่าเรื่องผ่านโครงเรื่องแบบตระกูลหนังเขย่าขวัญหรือทริลเลอร์ กรภัทร์ ก็ปั่นหัวคนดูให้เดาทางไม่ถูกเสียแล้ว คือฉากที่ไล่ฆ่ากันแทนจะที่ทำให้รู้สึกเสียว ๆ ลุ้น ๆ หนังก็ดันทำให้เราต้องระเบิดเสียงหัวเราะจนต้องละอายแก่บาปที่ไปล้อชะตากรรมตัวละคร ส่วนฉากตลกที่หนังตั้งใจให้คนดูฮาก็ต้องเสียวสันหลังและต้องตั้งคำถามกับชีวิตที่ผ่านมาตลอดเวลาว่าจะขำตรงไหน
จังหวะไหนของหนังที่ต้องขำบ้าง ซึ่งเป็นสัจธรรมของชีวิตที่เราต้องเจอทุกเมื่อเชื่อวันโดยเฉพาะการรับมือกับสิ่งที่คาดไม่ถึง ที่สำคัญ กรภัทร์ ยังปั่นหัวคนดูกระเจิงตั้งแต่หน้าหนังที่ทำพยายามทำให้เรานึกถึงหนังไล่เฉือดและภาพในหัวคนดูก็เต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัว แต่พอได้ดูตัวหนังจริงกลับมีหลายสิ่งเหนือคาดทั้งการแสดงแบบเล่นใหญ่เอาให้ทะลุชั้นบรรยากาศโลกร้อน การพูดและย้ำทุกประโยคสำคัญแบบไม่ต้องการให้คนดูตกหล่น และการกระทำอันเหนือความคาดหมายของตัวละครที่ต้องบอกว่าหากเราสามารถอยู่กับหนังได้ตลอด 115 นาทีแล้วเราจะได้หัวเราะกับฉากที่หนังไม่ตั้งใจและใคร่ครวญถึงตรรกะที่พาตัวเองเข้ามาดูหนังเรื่องนี้แบบที่ไม่มีหนังเรื่องไหนเคยทำได้มาก่อน
ว่ากันถึงโครงเรื่องก่อนเลย ว่าหากเราคาดหวังว่าหนังเรื่องนี้จะพาคนดูข้ามผ่านเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงหาใช่การปูพื้นตัวละครว่าเคยทำกรรมอะไรไว้ หรือบอกเล่าที่มาว่าป่านี้เป็นเช่นไร อาถรรพ์ของป่าที่ทำให้เหล่าตัวละครต้องเผชิญกับความสยองของน้ำแดงเฮลซ์บลูบอยแล้วล่ะก็ต้องบอกว่าสิ่งที่คาดเดาไว้นั้นผิดหมด เพราะเอาจริง ๆ นี่คือหนังที่จะมาหักล้างทุกตำราของภาพยนตร์อย่างแท้จริง หนังสยองเรื่องอื่นป่าอาจจะดูทึม ๆ น่ากลัว ๆ แต่ปิดป่าหลอนกลับมีความวาไรตี้ตั้งแต่การตั้งค่าหน้ากล้องแบบช็อตที่ต่อกันไม่มีช็อตไหนที่สีภาพมีความเสถียรประหนึ่งไปทะเลาะกับคนแก้สีหนังมา ซึ่งหากเราไม่มองว่ามีจุดผิดพลาดในการถ่ายทำแล้วก็อาจมองในเชิงความหลากหลายของตัวละครเหมือนชีวิตจริงที่เราต้องเผชิญก็ได้
หรือกระทั่งช่วงหลังของหนังเองก็แอบใส่สัญลักษณ์ผ่านเสียงพูดตัวละครที่ตั้งใจให้พวกเขาพล่ามทุกอย่างผ่านไมค์ไวร์เลสที่ช็อตอยู่ก็ทำให้คนดูเสียวสันหลังวาบว่านี่อาจเป็นอาถรรพ์จากการไม่เช็กอุปกรณ์ถ่ายทำหรือเป็นเพราะสิ่งลี้ลับอะไรกันแน่ แต่ทุกสิ่งอย่างก็ไม่หลอนเท่ากับตรรกะที่หนังสร้างขึ้นเองทั้งการเน้นย้ำประโยคเดิม ๆ ให้คนดูใส่ใจเช่น เมื่อมีเรื่องชกต่อยกัน อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยจะมาถามว่ามีเรื่องอะไรกันเหรอ แล้วผู้ปกครองนิสิตที่เป็นกะเทยก็เข้ามาถามอีกว่า นั่นสิมีเรื่องอะไรกันเหรอ ซึ่งหากฟังเผิน ๆ เราอาจมองว่านี่คือจุดบกพร่องในการกำกับแต่เอาเข้าจริงมันกำลังสอนเด็ก ๆ ว่าไม่มีใครใส่ใจเท่าผู้ใหญ่ที่มาถามอะไรกันซ้ำซ้อนอีกแล้ว เพราะหนังก็เอาอาการเดียวกันมาใส่ในตัวละครทุกตัวตอนอยู่ในป่าเช่นกัน
กระทั่งเหตุการณ์ในป่าเองก็มีอะไรหลอน ๆ เต็มไปหมดทั้งกิจกรรมที่ไม่มีอะไรมากกว่าการเดินจนเหนื่อยแล้วตั้งเต็นท์พักทั้งเรื่องจนจบที่มีคนตายซึ่งถือเป็นการพูดถึงเรื่องของวัฏสงสารได้อย่างล้ำลึก หรือกระทั่งตัวละครเอง ปิดป่าหลอน ก็สร้างปรัชญาในการดำเนินชีวิตประหลาด ๆ เพื่อสะท้อนว่าไม่ว่าโลกจะเลวแค่ไหนเราก็ต้องมีน้ำใจต่อกัน เช่นได้ยินเสียงเท้าคนยามดึกให้เอาขนมปังออกไปให้เขา และแม้ตอนถูกฆ่าจะกรี๊ดดังแค่ไหน คนในเต็นท์ที่ห่างกันไม่เกิน1 เมตรก็ไม่ได้ยินอยู่ดี หรือกระทั่งการพลิกชะตากรรมจากคนเลวมาเป็นคนดีของ อ๊อด ที่พยายามสละผลไม้ให้เพื่อน หนังก็ดูพยายามขยี้ดรามาตรงนี้ด้วยซีนแบ่งผลไม้ที่ดูยาวนานชั่วชีวิตประหนึ่งหนัง แอบเสิร์ต หรือกระทั่งการใส่ฉากเลิฟซีนวาบหวิวที่อยู่เหนือเหตุผลใด ๆ ก็เหมือนเป็นการคารวะหนังคัลต์ในตำนานของไทยอย่าง ดึก ดำ ดึ๋ย แบบป๋าเทพมาดูคงมีน้ำตาซึมอ่ะ เรียกได้ว่าหนังใส่อะไรมามากกว่าที่คิดแม้ไม่ช่วยให้เรื่องคืบหน้าหรือสร้างความสะพรึงกลัวใด ๆ ก็ตาม
ด้านตัวละครและการกำกับการแสดงของหนังก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจมากว่าผู้กำกับทำไมต้องเอาทุกอย่างให้ดูใหญ่ไปหมด แต่หากมองตรรกะว่าหากหนังเรื่องนี้ต้องไปเปิดในสมาร์ตโฟนแล้วล่ะก็ต้องพึ่งการแสดงเบอร์นี้นี่แหละ ตั้งแต่อาจารย์มหาวิทยาลัยที่ดูงงตั้งแต่ซีนแรกก็งงแบบเล่นใหญ่ลามไปถึงผู้ปกครองที่ไม่รู้ว่าลูกคนไหนเข้าไปก็เล่นใหญ่โต ดูหนัง 4k
แม้เหมือนทีมงานเพิ่งไปหานักแสดงเอาหน้ากองถ่ายก็ตาม ส่วนการแนะนำคาแรกเตอร์ผู้กำกับก็ถือว่ามีน้ำใจอย่างยิ่งด้วยความที่กลัวผู้ชมจะงงก็เลยกำกับให้ตัวละครทุกตัวกระทำสิ่งเดิม ๆ ตลอด อย่างแป้งร่ำก็ส่องกระจกตลอดเวลาแบบไม่รู้ว่านางส่องดูอะไร หรืออย่างกีตาร์ที่มือสั่นตลอดเวลาพร้อมดนตรีประกอบชวนสะพรึงแบบไม่มีเหตุผลและคำอธิบาย
เช่น เอ ที่ปวดท้องมันทุกซีนที่เธอปรากฎตัวในป่า ดูหนัง อ๊อด ที่ต้องทำตัวน่ารำคาญดูกร่างตลอดเวลาและชวนเปี๊ยกทะเลาะเพราะทั้งคู่ชอบ เอ เหมือนกัน ซึ่งผู้กำกับอาจคิดว่านี่คือการนำเสนอสัจธรรมของโลกที่เราต้องเผชิญทุกเมื่อเชื่อวันไม่ต่างจากโศกนาฏกรรมที่ทุกครั้งตัวละครอยู่คนเดียวแล้วกรี๊ดจะกลายเป็นศพที่มีน้ำแดงเฮลซ์บลูบอยราดคออย่างน่าอนาถ แต่คงเป็นความมรณาอันแสนหวานนะเพราะทั้งเรื่องเราจะเกิดพุทธปัญญาอยากให้ตัวละครพ้นกรรมกันเร็ว ๆ ทุกครั้งที่ตัวละครปรากฎตัวเลยล่ะ
เนื่องด้วยภาระหน้าที่ที่หนักอึ้งหลากหลายวัน วันนี้จึงขออนุญาตโดดเรียนมหา’ลัย ไปดูหนังไทยพึ่งเข้าเมื่อไม่กี่วันก่อน ดูหนังออนไลน์
“Who…ปิดป่าหลอน” ที่นำแสดงโดย คุณแน็ก ชาลี ที่เราคุ้นเคยและเป็นคนดังของเราเสียหน่อย ตอนผมไปดูหนังเรื่องอื่นกับเพื่อนตั้งแต่ปีที่แล้ว เห็นป้ายโฆษณาภาพยนตร์เรื่องนี้ตั้งเอาไว้ โทนสีขาวดำที่ชวนให้นึกถึงโปสเตอร์ภาพยนตร์ตระกูลแพร่ง กับเนื้อเรื่องที่จั่วหัว ว่าด้วยเรื่องคนกลุ่มหนึ่ง กับสถานที่ออกแนวปิดตาย ทำให้ผมนึกถึงหนังแนวสืบสวนของญี่ปุ่น และหนังแนวระทึกขวัญของฝรั่ง
นาย “เปี๊ยก” (แน็ก ชาลี) หนุ่มเซอร์ นศ.มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง แอบชอบสาวร่วมสถาบัน เผอิญเห็นสาวคนดังกล่าว คุยกับกลุ่มเพื่อน ขณะที่รุ่นพี่ (ซ้ำชั้นมาจะปีที่ 8 แล้ว) ตั้งโต๊ะชักชวนรุ่นน้องเข้าค่ายเดินป่าในป่าที่เชื่อกันว่าเมื่อเข้าไปแล้วอาจไม่ได้กลับออกมาอีก ว่าอยากเข้าค่ายเดินป่าดังกล่าวด้วย นายเปี๊ยกที่อยากตามสาวคนรัก จึงตกลงปลงใจเข้าค่ายที่จะพากันไปในสถานที่ที่แค่ฟังการกล่าวถึง
ก็ไม่น่าไปแห่งนี้แล้วกับเขาด้วย เมื่อค่ายเริ่มต้นขึ้น นักศึกษามหา’ลัยรวม 8 คนได้ไปสมทบกับพรานประจำสถานที่ ผู้ช่ำชองที่ในป่าดังกล่าวอีก 2 คน ณ สถานีรถไฟใกล้ป่า พร้อมตบเท้าเดินสู่ป่าใหญ่ที่มีกลิ่นอายบางอย่างไม่ชอบมาพากล ฟ้าที่เปิดเป็นใจตอนลงจากรถไฟ เมื่อ 10 ชีวิตเข้าป่า กลับมืดมนลงทันใดประหนึ่งเป็นลางร้ายบางอย่าง หารู้ไม่…นี่คือจุดเริ่มต้นของการตายอย่างต่อเนื่องที่กำลังจะตามมา หรือว่านี่จะเป็นอาถรรพณ์ของป่าที่มิสามารถต่อกรกันได้ แต่ถ้าไม่ใช่ หรือว่ามันจะเป็น… ดูหนังออนไลน์ 4k
เป็นภาพยนตร์ได้เนื้อเรื่องดี ไม่สิ…ต้องเรียกว่าเป็นเนื้อเรื่องระดับเซฟโซนของหนังแนวเดียวกัน
และเป็นเนื้อเรื่องที่แปลกใหม่สำหรับหนังไทย เพราะหนังไทยไม่ค่อยมีแนวนี้เท่าไหร่ ส่วนมากก็มักจะเป็นแนวสืบสวนโทนหนัก หรือไม่ก็แนวผีสางเต็มสูบไปเลยเสียมากกว่า เรื่องนี้นับว่าเป็นกึ่งกลางระหว่างแนวสืบสวนและผีสาง ออกแนวมิสเทรี่ ลึกลับ แนวๆใครเป็นคนทำ (Whodunit) อยู่เนืองๆ
อย่างที่กล่าวไป ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เนื้อเรื่องเซฟโซนที่ดี ที่เหลือก็คือการถ่ายทอดออกมาให้ดี สมกับที่ไต่ระดับอยู่บนเซฟโซน ผลคือ…ที่มีดี น่าจะมีเพียงแค่เนื้อเรื่องเท่านั้น ลำดับเรื่อง การถ่ายทอดของภาพยนตร์เรื่องนี้ค่อนข้างงงงวย ฉาบฉวย ไม่ประติดประต่อเสียจนคนดูมึน การนำทิวทัศน์เดิมๆกลับมาฉายซ้ำ
ทำให้รู้สึกซ้ำซากอย่างไรชอบกล ก่อนจะถึงหนึ่งในสามทั้งหมดของภาพยนตร์ คือช่วงปูตัวละครทั้ง 10 คนที่จะต้องเป็นคนเดินเรื่อง และติดอยู่ในป่าด้วยกัน ก่อนเกิดเรื่อง เป็นช่วงที่เละตุ้มเป๊ะที่สุด อยากใส่อะไรก็ใส่มาเต็มที่ บทพูดดูผิดธรรมชาติ ประดิษฐ์ประดอย
นักแสดงนอกเหนือจากคนที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันอย่างแน็ก ชาลี อาเล็ก สมชาย ศักดิกุลที่เคารพรัก และนักแสดงที่ไม่ค่อยคุ้นหน้า แต่ยังพอเล่นถึงอยู่บ้าง แข็งเสียจนน่าอึดอัดอย่างไม่น่าให้อภัย ผู้กำกับปล่อยผ่านมาได้อย่างไร คำพูดที่เว้นวรรคของนักแสดงที่เราไม่คุ้นหน้า (แต่ต้องถือว่าเป็นตัวละครหลัก เพราะอยู่ในกลุ่ม 10 คน) อย่างผิดธรรมชาติราวกับตัวเองลืมบทกลางคัน และไร้การตัดต่อของทีมงานฝ่ายถ่ายทำ ที่ควรทำให้มันลื่นไหล นี่ยังไม่นับตัวละครสมทบนอกเหนือคนทั้ง 10 ที่การแสดงนี่ท่องบทอย่างจับฉ่าย และเล่นใหญ่เสียจนเฟคมากอีกนะ
กลับมาที่เรื่องเนื้อเรื่อง และการเดินเรื่อง ถ้าตัดสินแค่เนื้อเรื่องกับการดำเนิน เรื่องนี้ถือว่าพอไปวัดไปวาได้บ้าง หากแต่การดูภาพยนตร์ เราต้องนำนักแสดงมาร่วมตัดสิน เพราะพวกเขาคือส่วนสำคัญที่ถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านั้นออกมาด้วยการแสดงของพวกเขา จาก 10 คน มีนักแสดงมืออาชีพ และเล่นถึงอยู่ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง
กล่าวคือ…คนเกินครึ่งของ 10 คนที่เป็นตัวละครหลักสำคัญ เล่นได้ค่อนข้างสอบตก ส่งผลให้คนที่แสดงได้โอเคก็ยังแบกไว้ไม่ไหว การรับส่งอารมณ์จึงไปไม่ถึงกันและกันในหมู่นักแสดง เป็นผลให้คนดูรับอารมณ์ได้อย่างขาดๆเกินๆ กลายเป็นไม่อินไปในที่สุด ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงแทบจะสอบตกในบัดดล
เพราะตัวนักแสดง นี่ยังไม่นับเนื้อเรื่องที่ถึงจะพอเข้าวัดได้ แต่ก็เรียกไม่ได้ว่าเข้าวัดไปได้ทั้งเรื่องนะ เพราะยังมีบางจุดที่เกิดการกระทำที่ไม่สมเหตุสมผลอย่างน่างงงวยในตัวละครอีกต่างหาก (เพียงแต่จุดนี้ไม่ใช่จุดใหญ่อะไรมาก คิดต่อเอาเองได้ หากแต่มันเป็นการคิดเองของคนดู มิใช่ความต่อเนื่องที่หนังส่งมาให้โดยตรง)
และน่ารำคาญเอามากๆ อย่างกับรายการตัดต่อเองของพวกเด็กที่ทำเล่นกันในยูทูป ยังดีที่ตอนเรื่องเริ่มเดินอย่างจริงจัง ซาวน์ยังเปิดได้ถูกจังหวะอยู่ ตอนแรกก็กลัวว่าซาวน์จะมาไม่ถูกเรื่องเหมือนครึ่งที่เปิดตัวตัวละครอยู่เสียอีก